CENTEL-CRC-ERW แห่ปรับกลยุทธ์ เน้นลดต้นทุน ขยายลงทุนมองต่าง

HoonSmart.com>> “โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา” คาดรายได้เริ่มฟื้นไตรมาส 3  โครงการภูเก็ตนำร่อง เดินหน้าลดต้นทุนต่อเนื่อง ลงทุนแพลตฟอร์มใหม่ วางเงินลงทุน 3 ปีนี้ ใช้ 1.04 หมื่นล้านบาท ส่วน “เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น” หั่นเงินลงทุนลง 10-15% จากเดิม 1.6-1.8 หมื่นล้านบาท ชะลอ 3 โครงการ  ลดเป้ารายได้ปีนี้โต 10% ด้าน “ดิ เอราวัณ กรุ๊ป” ตั้งงบลงทุนปีนี้ 700 ล้านบาท มั่นใจฐานะการเงินแกร่ง มองหาโอกาสเติบโตในอนาคต

ดร.รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริการ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) เปิดเผยว่า โครงการนำร่องที่จังหวัดภูเก็ตในไตรมาส 3/2564 คาดว่าจะทำให้ผลประกอบการฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น  แต่จะกลับสู่ปกติเหมือนในปี 2562 ได้ คงต้องรอในช่วงปลายปี 2566 หรือต้นปี 2567

สำหรับกลยุทธ์ในช่วงที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่นั้น บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นการลดต้นทุน และค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรวมการบริหารทางบัญชีให้เป็นอยู่ในศูนย์กลางเดียว จากเดิมที่อยู่กระจายตามอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เพื่อลดต้นทุนต่อหน่วยของอสังหาริมทรัพย์แต่ละแห่ง นอกจากนี้บริษัทยังพัฒนาระบบต่างๆ ที่คอยสนับสนุนแพลตฟอร์มด้านการขาย และเพิ่มความสะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการอีกด้วย

ส่วนเงินลงทุนที่ตั้งไว้จำนวน 10,400 ล้านบาทตามแผน 3 ปี แบ่งเป็นปี 2564 ใช้ประมาณ 2,900 ล้านบาท (ลงทุนธุรกิจโรงแรม 1,900 ล้านบาท และธุรกิจร้านอาหาร 1,000 ล้านบาท) ปี 2565 ใช้ 3,500 ล้านบาท (ธุรกิจโรงแรม 1,700 ล้านบาท , ธุรกิจร้านอาหาร 900 ล้านบาท และรองรับการขยายโครงการในอนาคต 900 ล้านบาท) และปี 2566 ใช้ 4,000 ล้านบาท (ธุรกิจโรงแรม 2,600 ล้านบาท , ธุรกิจร้านอาหาร 900 ล้านบาท และรองรับการขยายโครงการในอนาคตอีกกว่า 400 ล้านบาท)

ด้านนายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดเป้าหมายรายได้ในปี 2564 เหลือเติบโตที่ 10% จากเดิมที่ 10-12% ซึ่งคาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้จะเริ่มทยอยฟื้นตัวขึ้น ทั้งในประเทศไทยและอิตาลี หลังมีการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ส่วนในเวียดนามไม่ได้รับผลกระทบ

ทิศทางธุรกิจในไตรมาส 2 คาดว่ายอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) จะปรับตัวได้ดีขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รอบแรก โดยธุรกิจ Hardline ที่จำหน่ายวัสดุก่อสร้าง คาดว่าจะเติบโตได้ดีในตัวเลขหลักเดียว ส่วนธุรกิจแฟชั่น มองว่ายังได้รับผลกระทบอยู่ แต่การขยายผ่านช่องทาง Omni Chanel จะช่วยสร้างการเติบโตในช่องทางออนไลน์ ส่วนธุรกิจอาหาร บริษัทมีแผนที่จำหน่ายอาหารสด เนื่องจากมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี โดยร่วมมือกับพันธมิตรที่ให้บริการขนส่ง มุ่งเน้นความรวดเร็วในการจัดส่ง

“เรายังต้องเฝ้าติดตามการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่อย่างใกล้ชิด จนกว่าการกระจายวัคซีนจะครอบคลุมมากขึ้น  เราขอตั้งเป้ารายได้โต 10% ก่อน แต่ไม่ได้ความว่าจะไม่มีการเติบโต ซึ่งเรามีแผนที่ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการใหม่ๆที่มีการเติบโต” นายญนน์ กล่าว

สำหรับเงินลงทุนในปี 2564 ตั้งไว้ที่ 16,000-18,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะใช้ขยายสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ได้ลดเงินลงทุนลงประมาณ 10-15% โดยชะลอเปิดโครงการใหม่ 3 แห่ง เป็นในประเทศไทย 2 แห่ง ที่อยู่ตามแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ที่จังหวัดภูเก็ต และชลบุรี ส่วนต่างประเทศที่เวียดนาม

ทั้งนี้บริษัทฯมุ่งเน้นที่จะพัฒนาช่องทาง Omni Chanel ที่มีการเติบโตสูงตั้งแต่ช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 1/2564 เติบโตกว่า 224% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทตั้งเงินลงทุนพัฒนาระบบด้านเทคโนโลยีประมาณ 5-8% ของเงินลงทุนรวมในปีนี้ เพื่อขยายไปสู่ช่องทางหลักทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย , เวียดนาม และอิตาลี

นอกจากนี้บริษัทฯยังดำเนินการลดต้นทุนในทุกส่วนอย่างต่อเนื่อง ด้านการตลาดลดการโฆษณาต่างๆลง และขยายในช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการสั่งซื้อสินค้าที่มียอดขายที่ดี หรือที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 จะช่วยลดต้นทุนสินค้าคงค้าง นอกจากนี้ยังติดตั้งโซลาร์บนหลังคา ในแต่ละโครงการเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย

ด้านน.ส.วรมน อิงคตานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) เปิดเผยว่า โควิด-19 ระบาดรอบที่ 3 นี้ ส่งผลให้อัตราการเข้าพักของบริษัท ณ ปัจจุบันอยู่ 20% และยังมุ่งเน้นการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง

“ในช่วงไตรมาส 1 อัตราการเข้าพักของเราเติบโตขึ้นทุกเดือน หลักๆมาจาก โรงแรม Hop Inn ในไทยโตเฉลี่ย 48% เมื่อรวมกับโรงแรมทั้งหมดในไทยจะเหลือ 30% ซึ่งประเทศฟิลิปปินส์ โรงแรม Hop Inn มีอัตรการเข้าพักเฉลี่ยถึง 39% ” น.ส.วรมน กล่าว

ขณะที่เงินลงทุนในปี 2564 ตั้งไว้ที่ 700 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการที่อยู่ระหว่างการสร้างและพัฒนา ปัจจุบันบริษัทมีความแข็งแกร่งทางการเงิน มีกระแสเงินสดอยู่ที่ 1,519 ล้านบาท   มีวงเงินที่สามารถเบิกใช้จากสถาบันการเงินอีก 4,900 ล้านบาท และเงินจากการเพิ่มทุนในช่วงก่อนหน้าอีก 3,093 ล้านบาท ทำให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจ เพื่อรองรับการเติบโตตามแผนในอนาคตได้ นอกจากนี้ยังมองหาการเติบโตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย