4 รร.ขาดทุนยับ 6,482 ลบ.Q1/64 บล.ไทยพาณิชย์แนะ MINT-ERW

HoonSmart.com>>บล.ไทยพาณิชย์คาด  4 บริษัทผู้นำธุรกิจโรงแรม ขาดทุนปกติหนักขึ้นไตรมาสแรก ไมเนอร์ฯ 4,900 ล้านบาท ดิ เอราวัณฯ 500 ล้านบาท แอสเสท เวิรด์ฯ 596 ล้านบาท เซ็นทรัลพลาซา 486 ล้านบาท แถม 3 แห่งแรกเจอตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ตามมาตรฐานบัญชีซ้ำเติม ยกหุ้น MINT-ERW น่าสนใจ ด้านทริสฯเผย 3 เดือนแรก นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพียง 20,172 คน คาดทั้งปี 1.5-3 ล้านคน จับตาผู้ประกอบการบางรายอาจขาดสภาพคล่อง ธุรกิจต้องใช้เวลาอีก 2 ปีกว่ากลับมาก่อนเกิดโควิด

บล.ไทยพาณิชย์ออกบทวิเคราะห์กลุ่มโรงแรม ยังคงเรทติ้งระยะ 3 เดือนสำหรับบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ไว้ที่ OUTPERFORM (top pick ของกลุ่ม) ราคาเป้าหมาย 34 บาท ได้รับการสนับสนุนจากการกลับมาเปิดการเดินทางระหว่างประเทศในทวีปยุโรป เช่นที่อิตาลี ส่วนประเทศฝรั่งเศส วางแผนยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางและผ่อนคลายคำสั่งเคอร์ฟิวทั่วประเทศในวันที่ 2 พ.ค. ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของ NH Hotel Group (NHH ธุรกิจหลักในยุโรปของ MINT) ฟื้นตัว

ส่วนบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) ก็ให้เรทติ้ง OUTPERFORM ประกอบธุรกิจโรงแรมเพียงอย่างเดียว มีแนวโน้มจะได้ประโยชน์มากเป็นอันดับต้นๆจากการฟื้นตัวของท่องเที่ยวไทย และวันที่ 11 พ.ค. จะขึ้นเครื่องหมาย XR อัตราส่วน 1.25 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ที่ราคา 1 บาท และ XW อัตรา 7 หุ้นเดิมต่อวอร์แรนต์ 1 หน่วย อาจจะส่งผลให้ราคาหุ้นแกว่งตัวผันผวนช่วงสั้น

อย่างไรก็ตาม คาดว่าผู้ประกอบการโรงแรมจะรายงานผลขาดทุนปกติมากขึ้นในไตรมาสแรกและจะอ่อนแอต่อเนื่องในไตรมาส 2 เพราะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19ระลอกใหม่

สำหรับ MINT โดยปกติในไตรมาสแรกเป็นช่วงที่มีการเดินทางท่องเที่ยวในยุโรปน้อยที่สุด และการเดินทางอย่างเสรียังมีข้อจำกัดในช่วงล็อกดาวน์ คาดอัตราการเข้าพักในไตรมาสแรกที่ 14-17% เทียบกับ 17-27%ในไตรมาส 4/2563 คาดขาดทุนปกติ 4,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 4,300 ล้านบาทในไตรมาสก่อนหน้า

สำหรับ ERW ขาดทุน 500 ล้านบาท เทียบกับ 381 ล้านบาท AWC คาดขาดทุนปกติที่ 596 ล้านบาท เทียบกับขาดทุน 492 ล้านบาท CENTEL ขาดทุนปกติ 486 ล้านบาท เทียบกับ 142 ล้านบาท

ทั้งนี้ MINT,AWC, ERW จะบันทึกรายการพิเศษเกี่ยวกับขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด(มาตรฐานบัญชี TAS36) ซึ่งจะส่งผลทำให้ขาดทนุสุทธิเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม CENTEL บันทึกรายการพิเศษนี้ไปแล้วในไตรมาส 4/2563

ด้านบริษัท ทริสเรทติ้งวิเคราะห์ธุรกิจโรงแรมว่ามีระดับความเสี่ยงปานกลาง และยังคงแนวโน้มเป็น”ลบ” คาดว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปี 2654 จะฟื้นตัวอย่างช้าๆ มาจากการท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นหลัก คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประมาณ 1.5-3 ล้านคน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการกระจายความวัคซีนเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 และประสิทธิผลของวัคซีนทั่วโลก โดยทริสเชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในไตรมาสที่ 4  ทำให้ธุรกิจโรงแรมจะฟื้นตัวเพียงเล็กน้อยในปี 2564

การขึ้นราคาห้องพักยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก นอกจากนี้ ผู้ประกอบการจะยังคงเสนอส่วนลดและสิทธิพิเศษอื่น ๆ ที่ไม่อิงกับราคาเพื่อดึงดูดลูกค้า  ทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยจะยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนเพื่อลดผลขาดทุนต่อไป ผู้ประกอบการบางรายอาจมีปัญหาด้านสภาพคล่องที่ตึงตัวเนื่องจากรายได้ที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง  เชื่อว่าธุรกิจโรงแรมจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีที่จะทำให้รายได้กลับคืนสู่ระดับก่อนการระบาดของโรคโควิด 19

ในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค. 2564 )จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีเพียง 20,172 คน หดตัวถึง 99.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน การเดินทางท่องเที่ยวของประชาชนไทยลดลง 34.6% มาอยู่ที่ 26.4 ล้านครั้งโดยมีสาเหตุเนื่องมาจากการระบาดระลอกใหม่ และมาตรการการจำกัดการเดินทาง

” โรงแรมส่วนใหญ่อาจจำเป็นต้องหาแหล่งเงินทุนอื่น แนวโน้มการอ่อนตัวของภาวะการเงินน่าจะยังคงมีอยู่ต่อไปในปี 2564 ผู้ประกอบการบางรับอาจจะประสบปัญาด้านสภาพคล่องในช่วงวิกฤตนี้ เนื่องจากรายได้ที่หดตัวลงอย่างมาก ระดับการก่อหนี้ของโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 13 แห่งเพิ่มขึ้น เนื่องจากกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(อีบิทดา)ที่ลดลงอย่างมาก ค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่ออีบิทดาพุ่งสูงขึ้นถึง 79.9 เท่าในปี 2563 จาก 5.3 เท่าในปี 2562 คาดว่าระดับการก่อหนี้จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในปี 2564 ”

ปัจจุบันโรงแรม 13 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  MINT เป็นผู้นำตลาดที่ใหญ่ที่สุดซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดของรายได้โรงแรมถึง 65.4% ในปี 2563 ตามมาด้วย AWC 5.8%, CENTEL 5.7%, DTC 5.2% และ ERW 4.6%  โดย MINT มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นมากจาก 38.8% ในปี 2560 ซึ่งเป็นผลมาจากการซื้อกิจการของ NH Hotel Group SA ในปลายปี 2561 นอกจากนี้ MINT ยังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อโรงแรมชั้นนำ 20 แห่งของโลกอีกด้วย