ดาวโจนส์ปิดบวก 227 จุด ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจแกร่ง

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เด้ง ดาวโจนส์ปิดบวก 227 จุด ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่ง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ยอดขายบ้านใหม่เดือนมี.ค. พุ่งสูงเกินคาด ตลาดหุ้นยุโรปร่วง แรงขายหุ้นกลุ่มเฮลทธ์แคร์นำ ด้านราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 71 เซนต์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 23 เมษายน 2564 ปิดที่ 34,043.49 จุด เพิ่มขึ้น 227.59 จุด หรือ 0.67% จากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ขณะที่นักลงทุนรับข่าวแผนการปรับขึ้นอัตราภาษีกำไรจากเงินลงทุน (capital gains tax) ไปแล้ว แต่การปรับขึ้นของดัชนีถูกจำกัดด้วยการลดลงของหุ้นอเมริกันเอ็กซ์เพรสและหุ้นฮันนีเวลล์

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,180.17 จุด เพิ่มขึ้น 45.19 จุด ,+1.09%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,016.81 จุด เพิ่มขึ้น 198.40 จุด, +1.44%

ไอเอชเอสมาร์กิตรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 62.2 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 59.7 ในเดือนมีนาคม

ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น อยู่ที่ 60.6 จาก 59.1 สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2007 และดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น อยู่ที่ 63.1 จากระดับ 60.4 สูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน

กระทรวงพาณิชย์รายงาน ยอดขายบ้านใหม่เดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 20.7% มาสู่ระดับ 1.021 ล้านยูนิต สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 2006 และ สูงกว่า 886,000 ยูนิต ที่นักวิเคราะห์คาด ส่วนราคาเฉลี่ยของบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 0.8% สู่ระดับ 330,800 ดอลลาร์

การรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไม่มีผลต่อตลาด หุ้นอเมริกันเอ็กซ์เพรสลดลง 2.5% จากรายได้ไตรมาสแรกที่ลดลงและการใช้จ่าย่านบัตรเครดิตลดลงมาก หุ้นฮันนีเวลล์ลดลง2.4% จาหรายได้ที่ต่ำกว่าเป้า

นักวิเคราะห์ระบุว่า นักลงทุนรอการรายงานผลการดำเนินงานของกลุ่มเทคโนโลยีที่จะออกมาในสัปดาห์หน้า หลังจากมีการประเมินแผนการปรับขึ้นอัตราภาษีของประธานาธิบดีโจ ไบเดนใหม่

โกลด์แมนแซคส์ประเมินว่า การขึ้นภาษีอาจจะเจอการคัดค้านจากสภาคองเกรส และไม่สามารถปรับขึ้นได้มาก และอาจจะได้ข้อสรุปกันที่อัตราราว 28% ด้านยูบีเอสประเมินว่า มีนักลงทุนในประเทศราว 25% ที่เข้าข่ายเสียภาษี ส่วนบัญชีซื้อหุ้นที่เหลือไม่เข้าข่ายเสียภาษี ดังนั้นผลจากการปรับขึ้นภาษีต่อตลาดจะจำกัด

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง นำโดยกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่ลดลง 1.1% ขณะที่นักลงทุนเกาะติดการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นทั่วโลก

ไอเอชเอสมาร์กิตรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นมาที่ 53.7 จาก 53.2 ในเดือนมีนาคม สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่เร่งตัวขึ้น

ในอังกฤษ ดัชนี PMI เดือนเมษายนเพิ่มขึ้นมาที่ 60.0 จาก 56.4 ในเดือนมีนาคม และยอดค้าปลีกเดือนมีนาคมเพิ่ม 5.4%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 439.04 จุด ลดลง 0.59 จุด หรือ -0.13%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,938.56 จุด เพิ่มขึ้น 0.32 จุด หรือ +0.00%

ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,257.94 จุด ลดลง 9.34 จุด หรือ -0.15%

ดัชนี DAX ปิดที่ ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,279.62 จุด ลดลง 40.90 จุด หรือ -0.27%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 71 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 62.14ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 71 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 66.11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล