HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วง ดาวโจนส์ปิดลบกว่า 320 จุด หลัง “ไบเดน” เตรียมปรับขึ้นภาษี capital gains กลบตัวเลขผลประกอบการ ข้อมูลเศรษฐกิจออกมาดี ด้านตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น หลัง ECB คงดอกเบี้ยตามคาด ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นเล็กน้อย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 22 เมษายน 2564 ปิดที่ 33,815.90 จุด ลดลง 321.41 จุด หรือ 0.94% จากที่ปรับตัวขึ้นในช่วงแรกด้วยผลประกอบการและข้อมูลเศรษฐกิจ หลังมีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีแผนที่จะปรับขึ้นภาษีกำไรที่ได้จากการลงทุน(capital gains tax) เพิ่ม
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,134.98 จุด ลดลง 38.44 จุด, -0.92%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,818.41 จุด ลดลง 131.81 จุด, -0.94%
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ประธานาธิบดีไบเดนมีแผนที่จะปรับอัตราภาษี capital gain tax เพิ่มขึ้นมาที่สูงสุด 43.4% โดยจะปรับขึ้นอัตราภาษีส่วนเพิ่ม (marginal income tax rate) จาก 37% เป็น 39.6% และปรับขึ้นภาษีกำไรที่ได้จากการลงทุน (capital gains tax) จาก 20% เป็น 39.6% สำหรับ สำหรับชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่อปี 1 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป
นักวิเคราะห์จาก Cresset Capital Management มองว่า อัตราภาษีถือว่าเพิ่มขึ้นมากสำหรับนักลงทุนระยะยาว และคาดว่าจะเกิดแรงขายตลอดทั้งปีหากนักลงทุนมองว่ามีความเป็นไปที่จะบังคับใช้เป็นกฎหมายในปีหน้า
หุ้น Growth stocks อาจจะเจอแรงขายจากภาษี capital gains taxes ที่สูงขึ้น โดยหุ้นเทสลาลดลง 3.3% หุ้นแอมะซอนลดลง 1.6% นักวิเคราะห์จาก Morgan Creek Capital Management ระบุว่า ที่ผ่านมาตลาดปรับขึ้นจากหุ้น Growth stocks ไม่กี่ตัว ทำให้นักลงทุนมีกำไรเมื่อประเมินจากระดับราคาขณะนี้ นอกจากนี้ความวิตกต่ออัตราภาษีที่จะสูงขึ้น อาจมีผลให้ตลาดปรับฐานจากการเทขยายหรือทำชอร์เตเซลของนักลงทุน
หุ้นเซ้าท์เวสต์ แอร์ไลน์ลดลง 1.6% แม้รายงานยอดจองตั๋วเพิ่มขึ้นและคาดว่าจะมีผลการดำเนินงานดีขึ้นภายในสิ้นเดือนมิถุนายน
หุ้นDow Inc. ลดลง 6% แม้ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกดีกว่าคาด
ผลประกอบการและข้อมูลเศรษฐกิจไม่ได้ช่วยให้ตลาดปรับขึ้น เพราะนักลงทุนกังวลกับอัตราภาษี
กระทรวงแรงงานรายงานการยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วว่ามจำนวน 547,000 ราย ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ และต่ำกว่า 603,000 รายที่นักวิเคราะห์คาด
ธนาคารกลาง (เฟด) สาขาชิคาโก รายงาน ดัชนี Chicago Fed National Activity Index (CFNAI) เดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นมาที่ +1.71 จาก -1.2 ในเดือนกุมภาพันธ์
Conference Board รายงาน ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 1.3% จากที่ลดลง 0.1% ในเดือนกุมภาพันธ์
หุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 1.3% หุ้นเชฟรอน ลดลง 1.74%
หุ้นแอปเปิล ลดลง 1.17% หุ้นอัลฟาเบท ลดลง 1.13% หุ้นอินเทล ลดลง 1.77%หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ลดลง 5.34% หุ้น Nvidia ลดลง 3.32% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 1.31%
ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น 2.2% หลังจากที่ประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน
ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25% และคงวงเงินในการซื้อพันธบัตร PEPP ที่ระดับ 1.85 ล้านล้านยูโร
หุ้นเนสท์เล่ เพิ่มขึ้น 2.9% จากยอดขายรายไตรมาสเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 10 ปี
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 439.63 จุด เพิ่มขึ้น 2.99 จุด , +0.68%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,938.24 จุด เพิ่มขึ้น 42.95 จุด, +0.62%
ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,267.28 จุด เพิ่มขึ้น 56.73 จุด, +0.91%,
ดัชนี DAX ปิดที่ ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,320.52 จุด เพิ่มขึ้น 124.55 จุด, +0.82%
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ ปิดที่ 61.43ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ ปิดที่ 65.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
อ่านข่าว
บล.คิงส์ฟอร์ดแนะทยอยซื้อเล่นรอบแถว 1,550 จุด เก็งกำไรหุ้น STA-TVO

