HoonSmart.com>> ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับแนวโน้มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน “ไทยประกันชีวิต” มี “เสถียรภาพ” คงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศที่ AAA(tha) เป็นระดับสูงสุดในภาคธุรกิจไทย ชี้เงินกองทุนสูงและแข็งแกร่ง ผลจากการบริหารจัดการที่ดี ควบคู่นโยบายการลงทุนที่รอบคอบและมีประสิทธิภาพ
นางวรางค์ ไชยวรรณ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไทยประกันชีวิตมุ่งดำเนินธุรกิจสู่การเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต หรือ Life Solutions โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนางานในทุกด้าน สร้างนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงการสร้างความมั่นคงทางการเงิน และการบริหารความเสี่ยงที่ดี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เอาประกันของบริษัทฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 4 ล้านราย
การให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางการเงิน ส่งผลให้ในปี 2564 สถาบันจัดอันดับเครดิตทางการเงินระดับโลก ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ได้ประกาศปรับแนวโน้มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS Ratings) และอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (Insurer Financial Strength Ratings: IFS Ratings) ของบริษัทฯ เป็นแนวโน้มมีเสถียรภาพ โดยคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศที่ระดับ AAA(tha) และคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (Insurer Financial Strength : IFS) อยู่ที่ระดับ A- ซึ่งถือเป็นอันดับเครดิตทางการเงินสูงที่สุดในภาคธุรกิจไทย
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ชี้ว่าไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีสถานะทางการเงินและเงินกองทุนอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนเงินกองทุน ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2563 อยู่ที่ 372% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้ที่ 120% ด้วยระดับความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และการรับประกันภัยของบริษัทฯ ที่มีความสมเหตุสมผล และเชื่อมั่นว่าบริษัทฯ จะสามารถรักษาฐานะของเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งได้ต่อเนื่องตลอดปี 2563
นอกจากนี้ การบริหารทรัพย์สินอย่างรอบคอบและระมัดระวังของบริษัทฯ ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการพิจารณาอันดับเครดิตของฟิทช์ฯ ซึ่งไทยประกันชีวิตมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝาก รวม 84% ของพอร์ตเงินลงทุนรวม ส่วนการลงทุนในตราสารทุนมีประมาณ 9% ของมูลค่าเงินลงทุนรวม โดยมีกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อทรัพย์สินรวม (pre-tax return on assets) ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 3% สะท้อนการจัดสรรสินทรัพย์เพื่อการลงทุน ควบคู่กับการรักษาอัตราผลตอบแทนโดยรวมที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ระดับเงินกองทุนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงอยู่ในระดับน่าพอใจ
ขณะเดียวกัน ไทยประกันชีวิตมีฐานะทางการเงินที่แข็งแรง ตามโครงสร้างธุรกิจที่เข้มแข็ง โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการขยายตลาดผ่านตัวแทนฯ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่กว่า 50,000 คนทั่วประเทศ ที่พร้อมเป็นผู้วางแผนดูแลชีวิต การเงินและการลงทุนให้กับผู้เอาประกันและคนไทย ควบคู่กับขยายตลาดผ่านช่องทางการขายใหม่ๆ อาทิ E-Commerce, Bancassurance, Telesale โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาสนับสนุนการทำงาน ประกอบกับบริษัทฯ มีการพัฒนาสินค้าที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคครอบคลุมในทุกช่วงชีวิต รวมถึงพัฒนานวัตกรรมด้านการบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกสถานการณ์
“ธุรกิจประกันชีวิตยังต้องเผชิญกับปัจจัยท้าทายที่หลากหลาย ทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจในระดับประเทศและระดับโลก จากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนไป บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนางานในทุกด้าน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เอาประกันอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการมุ่งสร้างความมั่นคงทางการเงิน เพื่อให้สามารถจ่ายผลประโยชน์แก่ผู้เอาประกันตามสัญญากรมธรรม์ เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นในฐานะบริษัทประกันชีวิตที่มีความมั่นคงและแข็งแกร่ง พร้อมเคียงข้างดูแลชีวิตคนไทยในทุกสถานการณ์ ” นางวรางค์กล่าว