HoonSmart.com>> “ดิทโต้” พร้อมขายไอพีโอ 80 ล้านหุ้น P/E ที่ 28 เท่า คาดเข้าเทรด mai 6 พ.ค. มั่นใจธุรกิจโตตามอุตสาหกรรมดิจิทัล โชว์ Backlog 447 ล้านบาท ศึกษาเทคโนโลยีใหม่ เสริมแกร่งธุรกิจในอนาคต
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น เพิ่มทุนของบริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) หรือ DITTO เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่หุ้นละ 7.50 บาท จำนวน 80 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท เตรียมเปิดจองซื้อวันที่ 23, 26 – 27 เม.ย. 2564 นี้ คาดว่าจะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 6 พ.ค. 2564 โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
DITTO เสนอขายหุ้นจำนวน 80 ล้านหุ้น จัดสรรให้นักลงทุนสถาบัน ประมาณ 35 ล้านหุ้น ,นักลงทุนรายย่อยประมาณ 25 ล้านหุ้น และเสนอขายให้กับกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน และผู้มีอุปการคุณอีก 20 ล้านหุ้น
” ราคาขายที่ 7.50 บาท ถือว่าเหมาะสม คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ประมาณ 28 เท่า น้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มเดียวที่มี P/E ประมาณ 44 เท่า โดยการนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนในช่วงที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีมากจากทั้งนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบันต่างๆ” นายพิเชษฐ กล่าว
จุดเด่นของ DITTO คือ เป็นผู้ให้บริการระบบบริหารจัดการเอกสารและข้อมูล บริการรับเหมาวิศวกรรมด้านเทคโนโลยีแบบครบวงจร โดยมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของหน่วยงานต่างๆ มีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่องและไม่ได้พึ่งพารายได้จากธุรกิจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ด้านนายฐกร รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) หรือ DITTO เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ระดมได้จำนวนประมาณ 600 ล้านบาท ไปใช้ขยายศูนย์การให้บริการข้อมูลให้คลอบคลุมทั่วประเทศไทย ลงทุนพัฒนาระบบบริหารจัดการเอกสารสำหรับให้บริการบนระบบคลาวด์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนโดยบริษัทฯมีนโยบายทจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานในอนาคต บริษัทฯคาดว่ายังมีการเติบโตอีกมาก ในธุรกิจบริหารจัดการเอกสารและข้อมูลอย่างครบวงจร เนื่องจากเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยบทบาทในปัจจุบัน ทำให้เข้าสู่การทำงานในรูปแบบดิจิทัล (Digital Transformation) มากขึ้น โดยประเมินขนาดตลาดรวมของข้อมูลดิจิทัลไทย ในปี 2568 จะอยู่ที่ระดับ 12,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 75% จากปี 2563 มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 729.1 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทยังมีงานที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อีกประมาณ 447.64 ล้านบาท แบ่งออกเป็นธุรกิจจำหน่ายและให้บริการระบบบริหารจัดการเอกสารและข้อมูล 275.38 ล้านบาท และจากธุรกิจรับเหมาวิศวกรรมด้านเทคโนโลยีสำหรับโครงการของหน่วยงานราชการต่างๆ อีก 172.26 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมกับรายได้ประจำที่เข้ามาทุกเดือนของธุรกิจให้บริการเช่า จำหน่าย และให้บริการด้านเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ และสินค้าเทคโนโลยีอื่นๆ
โครงสร้างรายได้ในปัจจุบัน ประกอบด้วย 1.ธุรกิจจำหน่ายและให้บริการระบบบริหารจัดการเอกสารและข้อมูลอย่างครบวงจร ประมาณ 39% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 33.6% 2.ธุรกิธุรกิจรับเหมาวิศวกรรมด้านเทคโนโลยีสำหรับโครงการของหน่วยงานราชการต่างๆประมาณ 30.6% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 24% และ3.ธุรกิจให้บริการเช่า จำหน่าย และให้บริการด้านเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ และสินค้าเทคโนโลยีอื่นๆ อีก 30.3% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 18%
ด้านผลประกอบการของบริษัทในช่วง 3 ปี (2563-2561) ที่ผ่านมามีรายได้รวม 986.3 ล้านบาท , 773 ล้านบาท และ 422.3 ล้านบาท ตามลำดับ อัตราการเติบโต CAGR ที่ 52.8% ซึ่งมีกำไรสุทธิ 114.2 ล้านบาท , 56.3 ล้านบาท และ 13.4 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 11.6% , 7.3% และ 3.2% ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบของกำไรสุทธิ CAGR ที่ 192.3%
ด้านนายศิต ตันศิริ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท เซจแคปปิตอล ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า DITTO มีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปี 2544 จึงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าที่เป็นหน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชนต่างๆ ในหลายอุตสาหกรรม อาทิ ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ สถาบันการเงินชั้นนำ ฯลฯ ซึ่งต้องการพัฒนาระบบจัดการข้อมูลจากเอกสารสู่รูปแบบดิจิทัล รองรับการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ระบบดิจิทัล เชื่อว่าธุรกิจของ DITTO จะได้รับประโยชน์จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป