ทริส ปรับแนวโน้ม ORI ดีขึ้น

ทริสเรทติ้งมอง”ออริจิ้น”ดีขึ้น จากรายได้และความสามารถในการทำกำไรสูงกว่าที่คาด รายได้จะเพิ่มขึ้นเกินกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี อัตราส่วนกำไรเกินกว่า 20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ภาระหนี้เพิ่มตามการลงทุน

บริษัท ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ที่ “BBB-” และเปลี่ยนแนวโน้ม เป็น “บวก” จาก “คงที่”
แนวโน้มอันดับเครดิตที่ปรับขึ้นสะท้อนถึงรายได้และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่สูงกว่าที่คาด จากมูลค่ายอดขายรอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) จำนวนมาก คาดว่าฐานรายได้ จะเพิ่มขึ้นเกินกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) คาดว่าจะรักษาระดับเกินกว่า 20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่มีการปรับเพิ่มขึ้นในตลาดคอนโดมิเนียมราคาระดับกลางถึงล่าง บริษัทเพิ่มสินค้าไปสู่ตลาดคอนโดมิเนียมราคาระดับบนและโครงการบ้านจัดสรร ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาระหนี้ของบริษัทที่ค่อนข้างสูงจากการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 60-65% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า หรือเมื่อหักด้วยเงินสดแล้วอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1.5-2.0 เท่า อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงหนี้ภาคครัวเรือนของประเทศที่อยู่ในระดับสูงและลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและผันผวนสูงด้วย

ทางด้านผลการดำเนินงานในช่วงปี 2560 ถึงไตรมาส1/2561 สูงกว่าประมาณการของทริสเรทติ้ง รายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในปี 2560 เพิ่มขึ้นเป็น 9,253 ล้านบาท จาก 3,153 ล้านบาทในปี 2559 และ 2,100 ล้านบาทในปี 2558 ไตรมาส 1/ 2561 อยู่ที่ 2,395 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 178% รายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการเข้าซื้อ บริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียม “Park 24” ในปี 2560 ซึ่งยอดขายรอรับรู้เป็นรายได้จำนวนมากของโครงการ Park 24 จะช่วยหนุนการเติบโตของรายได้ของบริษัทในปี 2561-2563

แม้ว่าโครงการ Park 24 จะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าของบริษัท แต่บริษัทก็สามารถรักษาอัตราการทำกำไรเอาไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจ สะท้อนถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนและการตั้งราคาขายของบริษัท อัตราส่วนกำไรของบริษัททรงตัวอยู่ในช่วง 24.5%-25.5% ในช่วงปี 2558-2560 อัตราส่วนนี้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 34.8% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561

ขณะเดียวกัน ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในตลาดคอนโดมิเนียมปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา บริษัทพัฒนาภายใต้แบรนด์ “Knightsbridge” “Notting Hill” และ “Kensington” เน้นราคาระดับกลางถึงระดับล่างเป็นหลัก ภายหลังจากซื้อบริษัทพราวด์ เรสซิเดนซ์ บริษัทจึงใช้แบรนด์ “Park” ในการขายสินค้าราคาระดับบน บริษัทยังเพิ่มสินค้ากลุ่มบ้านจัดสรรโดยใช้แบรนด์ “Britania” ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในราคาระดับปานกลาง ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทมีแผนการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น โรงแรม อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า และอาคารสำนักงานให้เช่าอีกด้วย

บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้เป็นรายได้จำนวนมากซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตของรายได้ของบริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ณ เดือนมี.ค.2561 มูลค่ายอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอนของบริษัทอยู่ที่ 23,237 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี 2561 ประมาณ 7,300 ล้านบาทในปี 2562 ประมาณ 4,000 ล้านบาทในปี 2563 และส่วนที่เหลือในปี 2564 นอกจากนี้ กิจการร่วมค้ายังมีมูลค่ายอดขายอีกจำนวน 6,023 ล้านบาทซึ่งจะทยอยส่งมอบให้ลูกค้าในปี 2563 เป็นต้นไป จากการที่บริษัทมีมูลค่ายอดขายที่รอรับรู้รายได้จำนวนมากซึ่งจะช่วยรักษาระดับรายได้และกำไรในช่วง 3 ปีนี้เอาไว้ได้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ 12,000-13,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2563 ขณะเดียวกันอัตราส่วนกำไรคาดว่าจะรักษาระดับเกินกว่า 20% เอาไว้ได้

บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ณ เดือนมี.ค. 2561 ทั้งหมด 36 โครงการ ด้วยมูลค่ารวม 53,319 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 3.3 ล้านบาทต่อยูนิต และมีมูลค่าเหลือขายทั้งสิ้น 16,596 ล้านบาท บริษัทยังมีโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 4 โครงการที่พัฒนาภายใต้กิจการร่วมค้าซึ่งมีมูลค่ารวม 8,800 ล้านบาทและมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 4.2 ล้านบาทต่อยูนิต กิจการร่วมค้ายังมีมูลค่าเหลือขายอีกจำนวน 2,777 ล้านบาท

“สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ประมาณ 12,000-13,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2563 โดยโครงการ Park 24 จะเป็นสัดส่วนหลักของรายได้ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ในขณะที่บริษัทจะรักษาอัตรากำไรเกินกว่า 20% และบริษัทก็ควรจะต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2 เท่าเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาการกู้ยืมเงินของธนาคารและหุ้นกู้” ทริสระบุ