เมย์แบงก์ฯ คาดหุ้น Q2/64 กรอบ 1,450-1650 จุด แนะจังหวะย่อตัวซื้อ 5 หุ้นแกร่ง

HoonSmart.com>> บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” มองแนวโน้มหุ้นไตรมาส 2/64 ดัชนีผันผวนกรอบ 1,450-1650 จุด แนะตลาดย่อตัว โอกาสสะสม คัด 5 หุ้นแกร่ง ” BBL-IRPC-MAJOR-PLANB-SPALI”

วิจิตร อารยะพิศิษฐ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 2/64 บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คาดดัชนีแกว่งผันผวนในกรอบ 1,450-1650 จุด ในจังหวะตลาดย่อตัวแนะเป็นโอกาสในการทยอยสะสม เพื่อรอปัจจัยหนุนใหม่เป็นแรงขับเคลื่อนตลาดฟื้นตัวขึ้นในช่วงถัดไป แนะทยอยสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แนวโน้มกำไรฟื้นตัวเด่น ผสานกับธีมการลงทุนที่น่าสนใจ นำโดย 1) เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เน้นหุ้นในกลุ่มวัฎจักร เช่น ธนาคาร (BBL) และ พลังงาน (IRPC) 2) การทยอยเปิดเมือง และ Pent-up Demand ช่วยหนุนกำไรบริษัททะเบียนเร่งตัวขึ้น (PLANB, MAJOR, SPALI)

“บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งคงเป้าหมายสิ้นปีที่ 1,600 จุด จากฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในระดับต่ำมากในปี 2563 เนื่องจากได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาด COVID-19 ผสานกับการฟื้นตัวที่ค่อยๆดีขึ้น ขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินและการคลังทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงพัฒนาการเชิงบวกของการฉีดวัคซีนที่มากยิ่งขึ้น หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว ดังนั้นเราจึงประเมินการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของ SET ปี 2564 เติบโต +91%YoY ขึ้นสู่ระดับ 82 บาทต่อหุ้น ซึ่งหากพิจารณา ระดับ PE Ratio ที่เหมาะสม โดยอิงค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 5 ปี + 1.0 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (+1.0SD) ที่ 19.5 เท่า จะได้เป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้ที่ 1,600 จุด”นายวิจิตร กล่าว

สำหรับตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเด่นในช่วงไตรมาส 1/64 กว่า +8% ตอบรับความคาดหวังเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและโลก ผสานกับพัฒนาการเชิงบวกของวัคซีนที่เริ่มมีการฉีดมากยิ่งขึ้น กระตุ้นความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ดี การกลับมาแพร่ระบาดของ COVID-19 และการล็อกดาวน์ในบางประเทศอีกครั้งในช่วงต้นปี ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

ส่วนในช่วงไตรมาส 2/64 คาดตลาดยังคงได้แรงหนุนจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมถึงความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ซึ่งจะนำไปสู่การเปิดประเทศในช่วงถัดไป ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนภาคบริการของไทยฟื้นตัวกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนดัชนีมากยิ่งขึ้น

สำหรับช่วงไตรมาส 2/64 กลยุทธ์การลงทุนจะเป็นอย่างไร “ใครจะได้ไปต่อ” โดยแนะนำ 5 หุ้นเด่น ได้แก่ หุ้น BBL เป้าหมาย 160 บาท คาดกำไรปีนี้และปีหน้า +61%,+16% จากค่าใช้จ่ายดำเนินงานและต้นทุนสำรองลดลง สำรองหนี้สูญจะลดลงเป็น 2.2หมื่นล้านบาทในปี 64 (จาก 3.1-3.2 หมื่นล้านบาท ในปี 62-63) อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงมาที่ 50-52% ในปี 64 จาก 55% ในปี 63 เนื่องจากฐานที่สูงจากค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจกับธนาคาร Permata และคาดว่า BBL จะรายงานกำไรที่เติบโตแข็งแกร่งที่สุดในปีนี้และยังเป็นหุ้นที่ราคายัง laggard ในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 160 บาท

IRPC เป้าหมาย 4.5 บาท คาดส่วนต่าง PP + ABS มีแนวโน้มดีขึ้นต่อในช่วงไตรมาส 2/64 จากความต้องการที่อยู่ในระดับสูง และกำลังการผลิตใหม่ที่จะเข้ามาค่อนข้างจำกัด ค่าการกลั่นมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปท่ามกลางภาวะอุปสงศ์เร่งขึ้น ปัจจุบัน Valuation ไม่แพง โดยราคาหุ้นซื้อขายเพียง PBV 1 เท่า มีโอกาสแกว่งตัวขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในธีม cyclical play

MAJOR เป้าหมาย 24.5 บาท คาดไตรมาส 1/64 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี ก่อนจะพลิกเป็นกำไรใน 2Q64 จากการเปิดเมือง หนังเข้ามากขึ้น เช่น Fast 9, Mortal Kombat, Quiet Place 2 และหนังไทยหลายเรื่อง รายได้โฆษณาฟื้นตัวตามหนังและไฮซีซั่น อีกทั้งมีการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายมาตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์ กำไรเติบโตดียิ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 64 จากหนังหลายเรื่องทั้งที่เลื่อนจากปีก่อนและของปีนี้

PLANB เป้าหมาย 9.75 บาท มี 3 ความพร้อมเพื่อรองรับการฟื้นตัวของสื่อนอกบ้านได้ดีที่สุดในปีนี้ (1) ลูกค้า top 5 พร้อมฟื้น และแบรนด์ Technology สัดส่วนสูง 18% จาก 4% ปี 62 (2) pent-up demand รอเข้าไตรมาส 3 จาก“โอลิมปิก 2020” , “ไทยลีก 21/22” (3) สื่อใหม่ใน 7-eleven 1000 สาขาแรกรับรู้เต็มปี ไตรมาส 1/64 เป็นจุดต่ำสุดของปี 2564 เป็นฐานของการฟื้นตัว +229% YoY

SPALI เป้าหมาย 24.5 บาท คาด ปี 64 คาดรายได้และการเปิดตัวโครงการใหม่สูงเป็นประวัติการณ์ กำไรปี 64 คาดเติบโต 38%ดีที่สุดในอุตสาหกรรม โดยรายได้/กำไรรายไตรมาสจะขยายตัวดีต่อเนื่องจาก Backlog ที่รอรับรู้รายได้อยู่ในระดับสูง คาดมีอัพไซด์จากกำไรพิเศษจากการขายสำนักงานให้กับกองทรัสต์ SPALIRT ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ และมาตราการอสังหาฯใหม่จากรัฐบาล