ดาวโจนส์ปิดบวก 297 จุด Growth Stock ปรับตัวขึ้น

HoonSmart.com>> ดาวโจนส์ปิดบวก 297 จุด แรงซื้อหุ้น Growth Stock จากมุมมองบวกมากขึ้นต่อการเปิดเศรษฐกิจ ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ฟากตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์นำ ราคาน้ำมันดิบลดลง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 9 เมษายน 2564 ปิดที่ 33,800.60 จุด เพิ่มขึ้น 297.03 จุด หรือ 0.89% ที่ระดับนิวไฮด้วยการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่ม growth stock จากมุมมองทางบวกที่มากขึ้นต่อการเปิดเศรษฐกิจ และจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง รวมทั้งแรงซื้อช่วงท้ายตลาดเพื่อรับผลประกอบการไตรมาสแรกที่จะประกาศในสัปดาห์หน้า

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,128.80 จุด เพิ่มขึ้น 31.63 จุด, +0.77%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,900.19 จุด เพิ่มขึ้น 70.88 จุด, +0.51%

หุ้นที่จะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นคาร์นิวาล กรุ๊ปเพิ่มขึ้น 2.6% หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริค เพิ่มขึ้นกว่า1% หุ้นเจพี มอร์แกนเพิ่มขึ้น 0.8%

ในสัปดาห์นี้ดัชนี DJIA เพิ่มขึ้น 2% ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.7% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 3.1%

นักลงทุนจำนวนมากคาดว่า เงินเฟ้อจะสูงขึ้นจากการฉีดวัคซีนที่มีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ตลาดไม่กังวลมากนักเพราะธนาคารกลางได้ยืนยันแล้วว่า จะปล่อยให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้มากกว่าเป้าหมาย

นักวิเคราะห์จาก Bleakley Advisory Group ระบุว่า เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่เห็นว่าธุรกิจจะส่งต่อผลกระทบนี้ไปยังผู้บริโภค

ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด แสดงให้เห็นว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นรายปีสูงสุดในรอบ 9 ปีครึ่ง โดยกระทรวงแรงงานรายงาน ดัชนี PPI เพิ่มขึ้น 4.2% จากระยะเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 1.0% จากเดือนก่อนหน้า

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลงมาที่ 1.66% หลังจากการเผยแพร่ดัชนี PPI

ด้านนักวิเคราะห์จาก Raymond James ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นปัจจัยลบต่อตลาด ตราบเท่าที่เศรษฐกิจยังเติบโตดี

นอกจากนี้นักลงทุนไม่วิตกต่อการเพิ่มขึ้นของการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่เผยแพร่เมื่อวันก่อน

กระทรวงพาณิชย์รายงาน สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 0.6% จากเดือนก่อนและเพิ่มขึ้น 2.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายในภาคค้าส่งลดลง 0.8% ขณะที่เจ้าของธุรกิจใช้เวลา 1.27 เดือนในการขายสินค้าจนหมดสต็อก เพิ่มขึ้นจาก 1.25 เดือนในเดือนมกราคม

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่เพิ่มขึ้น 0.7% และเป็นการปรับขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2019 จากความหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกลบความวิตกเกี่ยวกับความคืบหน้าของการฉีดวัคซีน

ทั้งนี้อังกฤษมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนอย่างมาก ขณะที่หลายประเทศในยุโรปยังคืบหน้าน้อย

นอกจากนี้ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และสหภาพอัฟริกา เป็นประเทศล่าสุดที่ ระงับการใช้วัคซีนแอสตราเซเนก้า

ในเยอรมนี ผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ลดลง 1.6% จากเดือนก่อน และสวนทางกับการเพิ่มขึ้น 1.5% ที่นักวิเคราะห์คาด

ดัชนี Stoxx 600 ปิดที่ 437.23 จุด เพิ่มขึ้น 0.37 จุด, +0.09%

ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 6,915.75 จุด ลดลง 26.47 จุด, -0.38%

ดัชนี CAC 40 ปิดที่ 6,169.41 จุด เพิ่มขึ้น 3.69 จุด, +0.06%,

ดัชนี DAX ปิดที่ 15,234.16 จุด เพิ่มขึ้น 31.48 จุด, +0.21%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมลดลง 28 เซนต์ ปิดที่ 59.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายนลดลง 25 เซนต์ ปิดที่ 62.95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล