GUNKULลั่นโตกระฉูด ปี 65ส่งลูกเข้าตลาดหุ้น แผน 5 ปีมาร์เก็ตแคป 6 หมื่นล.

HoonSmart.com>> “กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง” ย้ำเป้ารายได้ปี 64 โตไม่ต่ำกว่า 20% หนุนโรงงไฟฟ้าลม-แสงอาทิตย์โต ธุรกิจรับเหมาฯ หรือ EPC ตุน Backlog แน่น 8 พันล้านบาท รับรู้ปีนี้ 3-4 พันล้านบาท จ่อประมูลงานใหม่มูลค่ารวม 3 หมื่นล้านบาท หวังได้งาน 10%  นำธุรกิจรับเหมาฯเข้าตลาดหุ้นได้ไม่เกินปี 65 ธุรกิจกัญชงคาดเริ่มปลูกเฟสแรก 150 ไร่ได้ไม่เกินเดือน ก.ค.นี้ ตั้งบลงทุนปี 64-66 ที่ 2 หมื่นล้านบาท  ขยายธุรกิจให้โตตามเป้า 1,000 เมกะวัตต์ มั่นใจปี 69 โกยรายได้ 2 หมื่นล้านบาท มาร์เก็ตแคปแตะ 6 หมื่นล้านบาท หวังเข้า SET50

นายสมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) เปิดเผยว่า บริษัทคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2564 ไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 10,974.54 ล้านบาท โดยไตรมาส 1 คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิตรวม 170 เมกะวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าดีขึ้น จากกระแสลมในเดือน ม.ค. และรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าเดิมเต็มปี กำลังการผลิตรวม 200 เมกะวัตต์

ส่วนธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (EPC) ปัจจุบันมีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) อยู่ประมาณ 8,000 ล้านบาท แบ่งรับรู้ในปีนี้ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้ในปีหน้า  โดยบริษัทมีแผนจะเข้าประมูลงานใหม่ประมาณ 30,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับงานประมาณ 10%

“เรามีแผนที่จะนำบริษัทย่อย ฟิวเจอร์ อีเล็คทริคอล คอนโทรล (FEC) ที่ดำเนินธุรกิจ EPC เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ  คาดว่าจะสามารถแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ได้ในช่วงไตรมาส 3 นี้ และคาดว่าจะสามารถจดทะเบียนได้ไม่เกิน 1 ปี ” นายสมบูรณ์ กล่าว

ส่วนการสร้างโรงงานสกัดกัญชง เพื่อนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ และจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอใบอนุญาตเพาะปลูกกัญชงเฟสแรกประมาณ 150 ไร่ จากที่ดินที่มีในมือและพร้อมพัฒนาประมาณ 2,111 ไร่  คาดว่าจะเริ่มปลูกได้ไม่เกินเดือน ก.ค.นี้ และจะนำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท ในการอนุมัติจัดตั้งบริษัทย่อย เพื่อร่วมทุนกับพันธมิตร ในการดำเนินธุรกิจกัญชง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในเร็วๆนี้

สำหรับเงินลงทุนในปี 64-66 บริษัทวางไว้ประมาณ 20,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 7,000 ล้านบาท โดยมีแผนจะออกหุ้นกู้วงเงินประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงในอนาคตตามแผนที่ว่าจะมีกำลังการผลิตรวมทั้งหมดในปี 2566 เป็น 1,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 600 เมกะวัตต์ (โรงไฟฟ้าพลังงานลม 170 MW โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์  430 MW)

นอกจากนี้บริษัทได้วางเป้าหมาย 5 ปีต่อจากนี้ (ปี 2569) จะมีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 20,000 ล้านบาท จากการขยายตัวของทุกธุรกิจ และเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) เป็น 60,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 38,000-40,000 ล้านบาท รวมถึงความหวังที่จะนำเข้าคำนวณในดัชนี SET50 ได้ในอนาคตด้วย