ทรีนีตี้ชวนซื้อ 3 แบงก์-PTTEP-TU-TOP

บล.ทรีนีตี้แนะนำคนอยากซื้อหุ้นโฟกัสตัวใหญ่ ส่งสัญญาณตลาดเดือนส.ค. ดัชนีเริ่มตันแถว 1,720 ตัน ขึ้นมาถึงให้แบ่งพอร์ตขายทำกำไรบ้าง ไปต่อแถว 1,750 ขายถือเงินสดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ชี้ปัจจัยบวกและลบกดดันตลาด

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ประเมินภาพการลงทุนในเดือน ส.ค.61 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ จะเริ่มชะลอการปรับตัวขึ้น มองกรอบแนวต้านแรกไว้ที่ 1,720 จุด และกรอบแนวต้านสำคัญที่ 1,750 จุด ส่วนแนวรับสำคัญที่ 1,650 จุด

“นักลงทุนที่สะสมหุ้นตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.ให้ถือหุ้น Let profit run ต่อไปได้ แต่จะต้องกำหนดจุดขายทำกำไรที่ชัดเจน หากดัชนีปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับแนวต้านแรกที่ 1,720 จุด แนะนำให้ขายทำกำไรออกมาส่วนหนึ่งและหากขึ้นต่อไปยังบริเวณ 1,750 จุด จำเป็นที่จะต้องขายหุ้นออกมาและถือเงินสดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”นายณัฐชาตกล่าว

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าลงทุนใหม่ในเวลานี้ จำเป็นที่จะต้องโฟกัสไปยังหุ้นขนาดใหญ่ (SET50) ที่ยังปรับตัวขึ้นได้น้อยกว่าตลาดในรอบนี้และเป็นหุ้นที่ บล.ทรีนีตี้ ยังคงคำแนะนำให้ “ซื้อ”ในเชิงพื้นฐาน ได้แก่ TISCO (ให้ราคาเป้าหมาย102บาท), PTTEP (เป้าหมาย144บาท), TMB (เป้าหมาย 2.60บาท), CPALL (เป้าหมาย 101บาท), TOP (เป้าหมาย101บาท), BBL (เป้าหมาย220บาท) และ TU (เป้าหมาย 18 บาท)

ส่วนภาพรวมในเดือน ก.ค.ตลาดหุ้นรีบาวด์ขึ้นตามคาด หลังกำไรกลุ่มแบงก์ออกมาดีกว่าคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาด อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นการปรับตัวขึ้นมาของดัชนีครั้งนี้จึงมาพร้อมกับ Valuation สูงขึ้น ซึ่งจะเริ่มเปราะบางบริเวณ 1,700 จุดขึ้นไป หรือเทียบเท่า Forward PE 14.1 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่มีเสถียรภาพมากที่สุดของ SET Index ในอดีต

นายณัฐชาต กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในเดือน ส.ค.นี้ แนะนำให้ติดตามผลประกอบการของกลุ่มอื่นๆ ที่ทยอยออกมา และเงินทุนไหลเข้าที่เริ่มมีทิศทางดีขึ้น หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติ Long หรือซื้อสุทธิในตลาดล่วงหน้าติดต่อกันถึง 40,000 กว่าสัญญา และเริ่มซื้อสุทธิในตลาดหุ้น

อย่างไรก็ตามตลาดยังคงถูกรบกวนจากประเด็นสงครามการค้าและการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยจนทำระดับสูงสุดใหม่ของปีนี้ ซึ่งหากยังคงปรับขึ้นต่ออีก อาจทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยเริ่มลดลง และความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในยุโรป เนื่องจากอิตาลีจะถึงคิวกำหนดชำระหนี้ก้อนใหญ่ในเดือนส.ค. หากถูกลดอันดับเครดิตลงจะทำให้ตลาดผันผวนได้ 4.การเพิ่มน้ำหนักหุ้น A-Shares ของจีนในดัชนี MSCI EM ช่วงปลายเดือนนี้อีก 2.5% ของ Market cap ที่อาจทำให้ Passive funds ที่อิงการลงทุนกับดัชนี MSCI EM มีการโยกย้ายเงินออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM) อื่น ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน