HoonSmart.com>> ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ประเมินแนวโน้มสถานการณ์ภาคเกษตรไทยปี 64 ฟื้นตัวคาดรายได้เพิ่มขึ้น 2.9% แตะ 8.96 แสนล้านบาท ความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดโลกสูงขึ้น มอง “เนื้อสัตว์สุกรและไก่-ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์-ยางพารา” แนวโน้มดี
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) วิเคราะห์ว่าในปีที่ผ่านมา สถานการณ์ภาคเกษตรไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 น้อยกว่าภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ เพราะว่าเป็นวัตถุดิบสำคัญในสินค้าเพื่อบริโภคอุปโภค ดังนั้นจึงเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงให้ความต้องการของสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น และทำให้ราคาปรับขึ้นเป็นส่วนใหญ่ สร้างรายได้ภาคเกษตรไทยกว่า 8.75 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากสินค้าพืชหลัก ได้แก่ ข้าว ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมันสินค้าจากการประมง และกลุ่มการเลี้ยงไก่ สุกร เป็นต้น
แม้ว่าในช่วงปีก่อนจนถึงต้นปีนี้ประเทศไทยยังคงประสบกับภัยแล้งอยู่ทำให้ปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อภาคการเกษตรบางส่วนแต่แนวโน้มผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มลดลง จะช่วยให้ตลาดในประเทศและตลาดส่งออกของไทยมีความต้องการสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น
TMB Analytics จึงใช้ข้อมูลสถานการณ์อุปทานของพืชเกษตรสำคัญแต่ละประเภทมาวิเคราะห์ร่วมกับภาวะอุปสงค์จากตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออกหลักของไทย เพื่อประเมินแนวโน้มสถานการณ์ของภาคเกษตรให้ชัดเจนมากขึ้น
สำหรับภาพรวมสถานการณ์ของภาคเกษตรในปี 2564 คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.9% หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ 8.96 แสนล้านบาท จากแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรในปีนี้จะยังคงขยายตัวจากปีก่อนที่ 1.4% จากความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดโลกและราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกว่าปีก่อน ในขณะที่ผลผลิตจะเพิ่มขึ้น 1.5% จากปีก่อนนี้จากอานิสงส์ปรากฏการณ์ลานีญา (La Nina) ที่ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือน มิ.ย.ส.ค.ปี2563 ซึ่งเป็นผลดีต่อการปลูกพืชในช่วงฤดูกาลผลิต
ในขณะที่ช่วงต้นปี บางพื้นที่อาจจะมีน้ำไม่เพียงพอใช้ เนื่องจากปริมาณน้ำในเขื่อนที่ลดต่ำลงในช่วงต้นปี 2564 โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ส่งผลให้ในช่วงนี้ผลผลิตของการปลูกพืชในเขตชลประทานมีแนวโน้มลดลง
หากเจาะลึกลงไปในด้านอุปทาน พบว่าสถานการณ์ผลผลิตการเกษตรในระดับภูมิภาค ตามการประเมินของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่าปริมาณน้ำฝนทั้งประเทศในปีนี้จะมากกว่าค่าปกติ 10-15% โดยคาดว่าปรากฏการณ์ลานีญาจะกลับมาอีกครั้งและทำให้ปริมาณฝนตกมากขึ้นตั้งแต่เดือนมี.ค.-ส.ค.ซึ่งดีกว่าปีก่อนที่ฝนตกน้อยกว่าค่าปกติถึง 20% โดยภูมิภาคที่ได้รับอานิสงส์จากปริมาณน้ำฝนมากที่สุดได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและ ภาคใต้ฝั่งตะวันตกซึ่งหากมองในภาพรวมแล้วปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังก็ยังเป็นปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการทำการเกษตร
สำหรับในด้านอุปสงค์ของสินค้าการเกษตร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบีได้นำการคาดการณ์ตลาดสินค้าเกษตรมาประเมินร่วมกับแนวโน้มอุปทานข้างต้นทำให้สามารถประเมินแนวโน้มสินค้าเกษตรในปี 2564 เป็น 2 กลุ่มสินค้าตามการขยายตัวของรายได้ดังนี้
1.สินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มดี
เนื้อสัตว์สุกรและไก่ แนวโน้มราคาเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเช่นคนละครึ่ง และเราชนะนอกจากนี้การขยายตัวของการส่งออกลูกสุกรไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทดแทนสุกรที่ได้รับผลกระทบจากโรคอหิวาต์สุกร (AfricanSwine Fever) และการส่งออกเนื้อแปรรูปไปยังประเทศฮ่องกง และจีนที่เติบโตขึ้นจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังทำให้รายได้จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แนวโน้มราคาเพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้เพื่อผลิตอาหารสัตว์เนื่องจากความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้นจากภายในประเทศและส่งออกในขณะที่ภาคเหนือซึ่งเป็นบริเวณที่มีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงที่สุด ได้รับอานิสงส์จากปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง20%ทำให้ผลผลิตมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับราคาในภาพรวมคาดการณ์ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.1%
ยางพารา แนวโน้มราคาเพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้ยางพาราจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยางเพื่อผลิตถุงมือทางการแพทย์ ต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังมีอยู่ในภาพรวมคาดการณ์ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.3%
2.สินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มทรงตัว
ข้าว ผลผลิตปีนี้คาดว่าจะสูงกว่าปีที่ผ่านมา แม้พื้นที่ปลูกข้าวเขตชลประทานในภาคกลางตอนบนและภาคเหนือตอนล่างจะได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำในเขื่อนที่มีปริมาณต่ำ อย่างไรก็ตามในด้านอุปสงค์ความสามารถในการแข่งขันราคาส่งออกข้าวไทยที่ลดลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง จากค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นทำให้ราคาข้าวไทยที่สูงกว่าคู่แข่งรวมไปถึงปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้นมากทำให้ไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนดทำให้คาดการณ์ว่ารายได้จากข้าวจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 2.7% จากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก
มันสำปะหลัง มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้นจากความต้องการนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้นของประเทศจีน เพื่อนำไปใช้ผลิตเอทานอลทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ราคาสูงและมีปริมาณสต็อกคงเหลือลดลง ซึ่งหากวัดตามมูลค่าส่งออกแล้ว ตลาดจีนมีมูลค่ามากถึง 66% ของการส่งออกทั้งหมดอย่างไรก็ตามปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังมีแนวโน้มชะลอตัวจากความเสี่ยงการถูกกดราคารับซื้อหัวมันสดจากผู้ผลิตผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง คาดการณ์ว่ารายได้จากมันสำปะหลังจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1.8%
ปาล์มน้ำมัน ในปีนี้ระดับราคายังมีระดับสูงต่อเนื่องจากปีก่อน อานิสงส์จากอุปสงค์ตลาดในประเทศเพิ่มขึ้นจากนโยบายใช้ดีเซลB10เป็นน้ำมันดีเซลมาตรฐาน และอุปสงค์เพื่อนำไปใช้ทำอาหารปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่ผลผลิตอยู่ในระดับใกล้เคียงจากปีก่อน จึงคาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1.3%
อ้อย ผลผลิตในประเทศปีนี้ มีแนวโน้มหดตัวลงจากการตัดสินใจลดการผลิตของเกษตรกรในประเทศเนื่องจากราคาอ้อยที่ตกต่ำในปีก่อนและปัญหาภัยแล้ง ทำให้น้ำตาลที่ผลิตเพื่อส่งออกมีปริมาณน้อยลง ประกอบกับแนวโน้มการแข็งค่าของเงินคาดการณ์ว่ารายได้จากอ้อยและน้ำตาลจะลดลงเฉลี่ย 0.6%
อาหารทะเล แม้ว่าภาพลักษณ์ของสินค้าอาหารทะเลของไทยมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าปีก่อนในด้านอุปสงค์ จากการที่EUปลดสถานะใบเหลืองให้แก่ไทย ในประเด็นIllegal Unreported and Unregulated Fishing (IUUFishing) อย่างไรก็ตามแรงกดดันการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศลดการบริโภคอาหารทะเลและหันไปซื้อเนื้อสัตว์ที่มีราคาต่ำกว่านอกจากนี้การที่สินค้าไทยไม่ได้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ในตลาดสหรัฐฯ และEU ส่งผลให้อาหารทะเลไทยมีราคาแพงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยเฉพาะจีน อินเดีย และเวียดนาม ปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยกดดันให้อุปสงค์ และอุปทานอยู่ในระดับที่จำกัดต่อไปโดยคาดการณ์ว่ารายได้ในกลุ่มนี้จะลดลงเฉลี่ย 1.8%
จากแนวโน้มสินค้าเกษตรที่ประเมินไว้เนื่องจากโครงสร้างตลาดสินค้าเกษตรไทยส่วนใหญ่ยังพึ่งพาตลาดส่งออกซึ่งมีการแข่งขันสูงและค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปี 2564 จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ลดทอนความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย อย่างไรก็ตามหากเราสามารถควบคุมระดับอุปทานให้มีปริมาณที่เหมาะสมและต้นทุนที่มีประสิทธิภาพรวมไปถึงนโยบายสนับสนุนที่ช่วยประกันความเสี่ยงด้านราคาจากภาครัฐจะช่วยให้สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยหล่อเลี้ยงเกษตรกรและเศรษฐกิจภายในประเทศได้