หุ้นพุ่ง 40 จุดข่าวดีรอบทิศ โนมูระฯชวนกอดลงทุน

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นไทยพุ่งแรงกว่าเอเชีย-ดาวโจนส์ล่วงหน้า หวังเศรษฐกิจโลกฟื้น สภาพคล่องท่วม ในประเทศมีข่าวดีหนุน รัฐผ่อนคลายเดินทาง กำไรบจ.ดีเกินคาด ช่วยลด P/E ตลาดลง  บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะลงหุ้นไทย 40-45% พอร์ตลงทุนถือ เสนอธีมวัฎจักรเลือก SCC, SCGP, PTT, TOP รถยนต์ไฟฟ้า-ไฮบรีดต้องมี GULF, KCE กระจายวัคซีนดีต่อ CPALL, CENTEL   รมว.คลังลั่นออกมาตรการกระตุ้นเพิ่ม คาดเศรษฐกิจปีนี้โตแค่ 2.8% 

วันที่ 3 มี.ค. 2563 นักลงทุนพกความมั่นใจเข้าตลาด ลุยซื้อหุ้นกระจายหลายกลุ่ม ดันดัชนีพุ่งแรงเกือบระดับสูงสุด ปิดที่ 1,543.40 จุด บวกแรงถึง 40.04 จุดหรือ 2.66% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 118,270.58 ล้านบาท แรงซื้อหนักๆมาจากสถาบันไทย  3,129 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติมากถึง  2,936 ล้านบาท และพอร์ตบล. 2,998 ล้านบาท รายย่อยขายเจ้าเดียว 9,364 ล้านบาท

หุ้นไทยได้รับอานิสงส์จากหุ้นภูมิภาคเอเชียและดาวโจนส์ฟิวเจอร์สบวกแรง จากความคาดหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก หลังจากที่มีการกระจายวัคซีนโควิด-19 รวมถึง สหรัฐและธนาคารกลางของเอเชียเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยิ่งเพิ่มสภาพคล่องในระบบ ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

นอกจากนี้ในประเทศยังมีปัจจัยบวกหนุน นายกรัฐมนตรีส่งสัญญาณผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติมช่วงเทศกาลสงกรานต์ และศบค.เล็งพิจารณาแนวทางผ่อนคลายกักตัวโควิด-19 สำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศ ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4 และ ปี 2563 ดีกว่าคาด รวมถึงเงินบาทอ่อนค่า หนุนหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์กลับมา เช่น DELTA และหุ้นหลักๆ สินค้าอุปโภคบริโภค นำโดย CPALL  หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว

บล.โนมูระ พัฒนสินแนะนำถือหุ้นไทย 40-45% ของพอร์ต หุ้นต่างประเทศเน้นเอเชียเหนือราว 25-30%, และถือสินทรัพย์ปลอดภัยหรือทางเลือกอื่นๆ ราว 35-25% โดยหุ้นเด่นเลือกบริษัทที่ได้ผลบวกจากวงจรเศรษฐกิจโลก,พลังงานสะอาด,วงจรขาขึ้นของเทคเอเชีย,การฟื้นตัวของการค้าโลก มูลค่ายังต่ำ โดยมี SCC, SCGP, PTT, TOP เป็นตัวแทนของหุ้นวัฎจักร รวมถึง GULF, KCE เป็นตัวแทนของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดที่เติบโตระยะยาวจากการลดการใช้พลังงานฟอสซิล

ส่วน SAWAD มีการปรับโครงสร้างพอร์ตรายได้หนุนการเติบโตระยะยาว และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำ นอกจากนี้ CPALL, CENTEL เป็นหุ้นได้ประโยชน์จากการกระจายวัคซีนปลายปีนี้และราคายังขึ้นไม่มากส่วนหุ้นขนาดกลางและเล็ก แนะนำ VNT(วงจร PVC ขาขึ้น) GFPT(ตัวแทนของกลุ่มโปรตีน ) และ SNC (แนวโน้มการเติบโตครั้งใหม่จากออร์เดอร์ใหม่ ที่เข้ามาเนื่องจาก China Plus

บล.โนมูระ พัฒนสินระบุการปรับประมาณการกำไรตลาดหุ้นไทยปี 2564-2565 เริ่มทรงตัว  โดยในเดือนก.พ. กลุ่มที่ถูกปรับขึ้นมากที่สุด ได้แก่ ปิโตรเคมี +6.7%, อิเล็กทรอนิกส์ +4.8% และ เกษตรและอาหาร +3.1% ขณะที่กลุ่มที่ถูกปรับลงอย่างมีนัยสำคัญ มีเพียงกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ -62.4% หลักๆถ่วงจาก AOT ส่วนกลุ่มอื่นๆที่ถูกปรับลด ได้แก่ โรงแรม -4.5%, รับเหมาก่อสร้าง -3.7% และอาหาร-2.9%

ทั้งนี้ กลุ่มเรียลเซคเตอร์ที่ประกาศผลการดำเนินงานปี 2563 และไตรมาส 4 จาก 139 บริษัทที่มีคาดการณ์จาก Consensus รายงานกำไรสุทธิรวม 3.46แสนล้านบาท ต่ำกว่าตลาดคาด -5% โดยมี 45 บริษัทที่งบแย่กว่าคาด

กลยุทธ์การลงทุน ระยะสั้นย่อซื้อ-ดีดขาย พอร์ตลงทุนเน้นตั้งรับกรอบ 1,477-1,454 ซื้อเพิ่มบางส่วน ระยะกลาง-ยาวแนะนำถือหุ้นไทยราว 50%

“นักลงทุนยังต้องจับตาสัญญาณบอนด์ยีลด์อย่างใกล้ชิด กรณีดีดตัวขึ้น 1.5 – 1.75 % จะทำให้ตลาดโลกปรับฐานระดับไตรมาสได้ แม้ว่าถ้อยแถลงของประธานเฟดล่าสุด มองการที่อัตราเงินเฟ้อจะแตะระดับเป้าหมายของเฟดนั้นอาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 3 ปี และการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัส วันที่ 4 มี.ค.นี้ ประเทศสมาชิกอาจจะหารือจำกัดการปรับลดกำลังการผลิต หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแรง” บล.โนมูระ พัฒนสิน

บล. คิงส์ฟอร์ด ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 4 /63 หากไม่รวม THAI อยู่ที่ราว 2.33 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง+39% จากไตรมาสที่ 3 และเพิ่มขึ้น2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดย Consensus คาดกำไร บจ.ปี 64 อยู่ที่ 7.1 – 7.5 แสนล้านบาท ฟื้นตัวจากปี 2563 ที่ 6 แสนล้านบาท ส่งผลให้ P/E ของดัชนีจะทยอยลดลงตามผลประกอบการที่ดีขึ้น

ส่วนรายงานกำไรบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 4/2563 จากข้อมูล Bloomberg รายงานกำไรดีกว่าคาดการณ์ +3.3 % แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2564 คาดได้แรงหนุนจากกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ทิศทางฟื้นเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤติโควิด 2564” คาดว่าเศรษฐกิจในปี 2564 อาจเติบโตไม่ถึง 4% อย่างที่คาดการณ์ไว้ โดยอาจจะขยายในช่วง 2.5-3.5% หรือประมาณ 2.8% เท่านั้น เนื่องจากความต้องการของต่างประเทศยังไม่กลับมา โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ซึ่งสร้างรายได้สัดส่วน 12% ของ GDP และการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ รัฐบาลจึงยังมีความจำเป็นต้องออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก