บล.เอเซีย พลัส มองกรณีเขื่อนลาวทรุดยังประเมินไม่ได้ RATCH ต้องรับผิดชอบในฐานะผู้ถือหุ้นมากน้อยแคไหน แนะระยะสั้นเลี่ยงลงทุนก่อน แม้แง่พื้นฐานคาดกระทบหุ้นเพียง 1 บาท
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส วิเคราะห์กรณีเหตุเขื่อนดินย่อย D ซึ่งเป็น 1 ใน 5 เขื่อนย่อยของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ที่สปป.ลาว เกิดทรุดตัวและแตก กระทบ RATCH ซึ่งถือหุ้น 25% โดยประเมินผลกระทบเบื้องต้น ต่อประมาณการกำไร และ Fair Value ของ RATCH กรณีเลวร้ายสุด คือไม่รวมกำลังผลิตจากโครงการนี้ 102.5 เมกะวัตต์(คิดตามสัดส่วนที่ RATCH ถือ 25% ) คิดเป็นเพียง 1.4% เมื่อเทียบกำลังผลิตรวมของ RATCH ที่ 7 พันเมกะวัตต์
ประเมินผลกระทบต่อมูลค่าพื้นฐาน 1 บาทต่อหุ้น จาก 61 บาทต่อหุ้น ถือว่าน้อยมาก อีกทั้งโครงการดังกล่าว อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และมีทำประกันโครงการไว้ คาดว่าจะสามารถชดเชยจากประกันภัยได้ แต่ต้องรอประเมินความเสียหายก่อน
สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ในส่วนการซ่อมแซมเขื่อนไม่มากนัก แต่ความเสียหายที่ต้องชดเชยให้ประชาชนในพื้นทีที่ได้รับความเดือดร้อน รวมถึงการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความเสียหาย ฝ่ายวิจัยฯมองว่า มีนัยสำคัญ เป็นค่าใช้จ่ายพิเศษที่จะเกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน ยังไม่มีความชัดเจนว่า บริษัทไฟฟ้าเซเปียน-เซน้ำน้อย ผู้รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งโครงการนี้ยังไม่ได้ส่งมอบ เนื่องจากอยู่ระหว่างก่อสร้าง จะต้องรับผิดชอบด้วยมูลค่าที่สูงเพียงใด ถือเป็นความเสี่ยงต่อ RATCH ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ส่วนหนึ่ง ระยะสั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน
โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย มีกำลังการผลิตรวม 410 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง มีความคืบหน้า 90% แล้ว กำหนดผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) วันที่ 1 ก.พ. 2562 โครงการนี้ผู้ถือหุ้นหลักคือ RATCH สัดส่วน 25%, SK Engineering & Construction Company Limited 26%, Korea Western Power Company Limited 25% และรัฐบาลสปป. ลาว 24%
ด้านราคาหุ้น RATCH เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากช่วงเช้ายังปรับตัวลดลง ณ เวลา 15.42 น. อยู่ที่ 51.50 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.49%