HoonSmart.com>> บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าปี 64 เติบโต 7% มุ่งรักษาความเป็นผู้นำตลาดธุรกิจกองทุนรวม เชื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ชวนผู้ลงทุนก้าวข้ามความผันผวนในระยะสั้น แนะกระจายการลงทุนในระยะยาวผ่าน 6 กองทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้พอร์ต พร้อมเติบโตตามเทรนด์โลกในอนาคต มองระยะสั้น 1-3 เดือนหุ้นไทยผันผวน พี/อีสูง เป้าสิ้นปี 1,600 จุด
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าเติบโต 7% ในปี 64 โดยมุ่งรักษาความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจกองทุนรวม ด้วยการ 1) รักษาฐานลูกค้าเดิมผ่านการแนะนำกองทุนที่เหมาะสมกับภาวะตลาด 2) ขยายฐานลูกค้าใหม่ผ่านการเปิดเสนอขายกองทุนตามความไลฟ์ สไตล์และเทรนด์โลก 3) พัฒนาช่องทางการลงทุนดิจิตอล โดยเพิ่มฟี เจอร์ใหม่บน App K-My Funds เพื่อให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น และ 4) นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการวิเคราะห์และบริหารจัดการกองทุนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
อย่างไรก็ดีบลจ.กสิกรไทย เชื่อว่า ‘ตลาดกระทิงมา ถึงเวลาต้องลงทุน’ โดยหลังจากที่มีการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ได้สำเร็จและแจกจ่ายใช้ในหลายประเทศมากขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวกลับมาในทิศทางที่ดีขึ้น
นายวศิน กล่าวต่อไปว่า แม้ในปีที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจโลกถดถอยเป็นอย่างมาก แต่ตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งทั่วโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผู้ลงทุนเริ่มสนใจย้ายไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ (FIF) กันมากขึ้น และคาดว่าความสนใจจะมีต่อเนื่องไปในปีนี้โดยให้น้ำหนักกับ 2 ธีมการลงทุน ได้แก่ 1) ธีม New Normal การแพร่ระบาดของโควิด-19 เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในวงกว้าง เช่น การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานและการศึกษานอกสถานที่ โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์ได้แก่ กลุ่มเฮลธ์แคร์ (Health Care), อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) และการศึกษาออนไลน์ (Edutainment) เป็นต้น
2) ธีมสองมหาอำนาจ สหรัฐฯและจีนต่างมีปัจจัยบวกสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯยังเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนหลากหลายสัญชาติ มีน้ำหนักสูงถึง 46% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่จีนมีข้อได้เปรียบตรงที่เป็นประเทศขนาดใหญ่ และมีการบริโภคภายในประเทศที่ค่อนข้างสูง รวมถึงมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี
สำหรับกองทุนหุ้นไทย ยังคงเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Quality Growth และ High Potential for Recovery จากความคืบหน้าในการแจกจ่ายวัคซีน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต
นายวศิน กล่าวว่า บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนก้าวข้ามความผันผวนในระยะสั้น โดยใช้หลักกระจายการลงทุน พร้อมเติบโตตามเทรนด์โลกในระยะยาวผ่าน 6 กองทุนแนะนำ ประกอบด้วย กองทุนต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดเค พอสซิทีฟ เชนจ์ หุ้นทุน (K-CHANGE) กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) และกองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) กองทุนผสม ได้แก่ กองทุนเปิดเค โกลบอล อินคัม (KGINCOME) กองทุนหุ้นไทย ได้แก่ กองทุนเปิดเค สตาร์ หุ้นทุน (K-STAR) และกองทุนตราสารหนี้ได้แก่ กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ พลัส (K-FIXEDPLUS) โดยผู้ลงทุนสามารถกระจายการลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน เพื่อลดความผันผวนและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ตการลงทุน
“ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัว จากความสำเร็จในการผลิตและแจกจ่ายวัคซีน การดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินและการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ซึ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับอานิสงส์จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่ New Normal ทั้งการใช้ในชีวิตประจำวัน ความบันเทิง และการทำงานส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มนี้ยังคงมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังช่วยหนุนเอเชียรวมถึงไทย โดยหากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็วก็มีโอกาสที่จะได้เห็นกำไรในบริษัทจดทะเบียนของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด และทำให้ตลาดสามารถซื้อขายในระดับ Valuation ที่สูงได้ทั้งนี้ คาดว่า SET Index ปลายปีจะปรับขึ้นแตะ 1,600 จุด ภายใต้ความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลังจากเห็นความชัดเจนในการแจกจ่ายวัคซีน และการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกที่จะสนับสนุนการส่งออกของประเทศ” นายวศินกล่าว
ด้านน.ส.ธิดาศิริ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น 1-3 เดือนคาดว่าดัชนีหุ้นไทยยังคงปรับตัวผันผวน ตามการพัฒนาของวัคซีนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสถานการณ์การแพร่ระบาดรอบใหม่ในประเทศ หากสถานการณ์ทรงตัวมีทศิทางทดี่ขึ้นดัชนีน่าจะยืนได้เหนือ 1,450 จุดได้ แต่หากรอบ 2 ยืดเยื้อหรือเกิดการระบาดรอบ 3 หรือมีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ Downside ของดัชนีคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,300-1,350 จุด
“หุ้นไทยพี/อี 19 เท่า ค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง 15.5 เท่า ขณะที่ Earnginngs yeild gap หุ้นไทยเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีอยู่ที่ 4% อยู่ระดับที่แพงแล้ว ตลาดเทรดด้วยความคาดหวังค่อนข้างมาก ส่วนปัจจัยเสี่ยงคือเรื่องการเมือง เสถียรภาพรัฐบาล การอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้สภาคอนโทรลเสียงข้างมากได้ แต่ห่วงการชุมนุมซึ่งก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองได้”น.ส.ธิดาศิริ กล่าว
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจ เน้นกลุ่มที่มี High Potential for Recovery สำหรับหุ้นที่น่าสนใจ เน้นกลุ่มที่มี High Potential for Recovery แนะนำเลือกหุ้นในกลุ่มแบงก์ พลังงานและปิโตรเคมี โรงแรมและโรงพยาบาล รวมถึงหุ้นกลุ่ม Quality Growth จากความก้าวหน้าในการแจกจ่ายวัคซีน ซึ่งสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แนะนำเลือกหุ้นรายตัวในกลุ่มโรงไฟฟ้า พาณิชย์และอิเล็กทรอนิกส์
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนตราสารหนี้ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มดอกเบี้นนโยบายของไทยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ระดับต่ำตลอดปีนี้ ขณะที่ดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ดอกเบี้ยต่ำไปอีก 2 ปี อย่างไรก็ตามแม้ดอกเบี้ยนโยบานต่ำ แต่พันธบัตรระะยาวทะทยอยสูงขึ้นตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ตลาดแกว่งมากขึ้น หากนักลงทุนกังวลอาจเลือกลงทุนในเทอมฟันด์ที่มีผลตอบแทนแน่นอน แต่หากลงทุนเพื่อจัดพอร์ตกระจายสินทรัพย์ผลตอบแทนยังได้ 1% ดีกว่าฝากธนาคาร แต่ต้องยอมรับการแกว่งตัวสูงขึ้น ซึ่งบริษัทพยายามหาการลงทุนตราสารหนี้ภาคเอกชน Spread ยังสูง
ปัจจุบันตลาดหุ้นกู้เอกชนเริ่มทยอยกลับมาอยู่ในภาวะปกติ Credit Spread หุ้นกู้ไทยเรทติ้งตั้งแต่ AA ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเข้าใกล้ระดับเดียวกับภาวะปกติ ขณะที่ Spread หุ้นกู้เครดิตเรทติ้ง A ปรับขึ้นสูงในช่วงเดือนธ.ค.2563 ที่มีการระบาดโควิดในไทย
นายวศิน กล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ณ สิ้นปี 63 อยู่ที่ 1.40 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 1.04 ล้านล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.96 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.69 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดจำแนกตามธุรกิจอยู่ที่ 74%, 14% และ 12% ตามลำดับ โดยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ใน อุตสาหกรรมกองทุนรวม (ข้อมูลจาก AIMC ณ ธ.ค. 63)
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระแส Digital Disruption ในอุตสาหกรรมกองทุนถือว่ามาช้ากว่าธุรกิจการเงินอื่นๆ อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทย ได้ปรับตัวรองรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยใช้ช่องทางดิจิตอลเป็นหลัก เห็นได้จากจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอล (Digital-based Users) มีประมาณกว่า 74% จากจำนวนลูกค้าที่มีธุรกรรมทั้งหมดในปีที่ผ่านมา รวมเป็นมูลค่าการซื้อขายกว่า 4.40 แสนล้านบาท ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้ตั้งเป้าจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอลเพิ่มขึ้นอีก 20% ในปี 64