บลจ.วรรณดันยอดขายทริกเกอร์ทะลุหมื่นลบ. กองใหม่จองเกลี้ยง 7 นาที

HoonSmart.com>> บลจ.วรรณ มองระยะสั้นตลาดหุ้นปรับฐาน สบจังหวะเปิดขายกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ต่างประเทศ “ONE-GLOBALTOP8M11” ยอดจองซื้อเต็ม 4 พันล้านบาทภายใน 7 นาที นำกรีนชูออปชั่นจัดสรรหน่วยเพิ่มติดต่อกันเป็นครั้งที่ 4 ปลื้มภายใน 1 เดือน สร้างยอดขายกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ ซีรีย์ 8M ทะลุ 1 หมื่นล้านบาท แนะลงทุนหุ้นระยะยาวธีม หุ้นกลาง-เล็กและ China New Economy ติดตามปัจจัยผู้ติดเชื้อ Covid-19 และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

พจน์ หะริณสุต

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นต่างประเทศในสัปดาห์หน้ามีแนวโน้มผันผวนสูงขึ้น จากงบการเงินบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกในไตรมาส 4 ปีที่แล้วรายงานออกมาเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาตลาดได้รับรู้ไปพอสมควร จึงน่าจะขาดปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้นและอาจจะมีแรงขายทำกำไรออกมาบางส่วนจากราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ต้นปี

สำหรับภาพการลงทุนระยะสั้นถัดจากนี้ตลาดอาจจะมีการพักฐานระดับหนึ่ง แต่มองว่าเป็นโอกาสสะสมหุ้นที่แนวโน้มเติบโตดี มีนวัตกรรมตอบโจทย์ผู้บริโภคทำให้เกิดการซื้อ/ใช้บริการซ้ำ ซึ่งนำมาสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของรายได้ อีกทั้งสภาพคล่องในระบบการเงินทั่วโลกยังอยู่ในระดับสูงถือเป็นปัจจัยหนุนตลาดและเรายังไม่เห็นสัญญาณการเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินและการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้

“กลยุทธ์การเลือกลงทุนในกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ ถือว่าเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะสั้นที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกในขณะนี้ ซึ่งล่าสุดกองทุนเปิด วรรณโกลบอล ท็อป 8M11 (ONE-GLOBALTOP8M11) สามารถสร้างสถิติหน้าใหม่สำหรับกองทริกเกอร์ฟันด์ตลาดต่างประเทศ โดยมียอดจองซื้อเต็มจำนวน 4 พันล้านบาทภายในเพียง 7 นาที และต้องเปิดกรีนชูอีก 600 ล้าน หลังจากที่ก่อนหน้านี้กองทุน ONE-GLOBALTOP8M10 มียอดจองซื้อเต็มจำนวนภายในระยะเวลา 20 นาที ทั้งนี้ หากนับยอดจองซื้อกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ต่างประเทศในซีรีย์ 8M8 8M9 8M10 และ 8M11 ในระยะเวลาเพียง 1 เดือน บลจ.วรรณมียอดขายเกิน 1 หมื่นล้านบาท นับเป็นความสำเร็จระหว่างบลจ.วรรณและกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ได้ร่วมมือกันนำเสนอขายกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ดังกล่าว” นายพจน์กล่าว

ในส่วนของการลงทุนระยะยาว บลจ.วรรณ ยังคงแนะนำกองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก(Mid-Small Cap) ที่มีแนวโน้มบวกได้มากกว่า Mega-Large Cap ในปีนี้ เนื่องจากอัตราการเติบโตรายได้มีแนวโน้มสูงกว่าขณะที่ราคานับตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาด Covid-19 ปีที่แล้วขึ้นมาเพียงเท่าๆกัน นอกจากนี้ ธีมที่น่าสนใจคือ China New Economy เนื่องจากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวเด่นชัดสุดจากกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศที่มีประชากรสูงสุดในโลก ขณะที่ราคาหุ้นต่ออัตราการเติบโต (PEG) ถ้าเปรียบเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่ราคาขึ้นมาพอสมควรนับว่ายังมีโอกาสในการลงทุนในหุ้นจีนอยู่

ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง คือ จำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 รายใหม่หากมีแนวโน้มลดลงจากมาตรการ Lockdown เข้มงวดและการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) ประกอบกับหลายประเทศเดินหน้าฉีดวัคซีนต่อเนื่อง อาจจะนำไปสู่การเปิดเมืองอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ปัจจัยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอาจมีภาวะกดดันหลังจากที่ราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากจากนักลงทุนส่วนหนึ่งที่เชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์ถ้ามีการปิดเมืองกอปรกับถ้าคาดว่ากำไรในไตรมาสแรกปีนี้ ออกมาเพียงใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์หรือแย่กว่าคาดการณ์