HoonSmart.com>>”ทริสเรทติ้ง” ตรวจสุขภาพลูกค้าที่ให้จัดอันดับเครดิต 136 ราย ธุรกิจโรงแรมต้องใช้เวลาถึงปี 67 กว่าจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ คาดอสังหาริมทรัพย์ที่ขายคอนโดมิเนียมจะกลับมาปกติปี 65 ส่วนแบงก์ -น้ำมันและก๊าซธรรมชาติกำไรดีขึ้นปี 64 นันแบงก์ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจโต
นายศักดิ์ดา พงศ์เจริญยง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรทติ้ง กล่าวในงานสัมมนา MS Team ในวันที่ 18 ก.พ.2564 ว่า ทริสฯได้พิจารณาข้อมูลของบริษัทที่ให้จัดอันดับเครดิต ทั้งสิ้น 136 ราย เห็นธุรกิจส่วนใหญ่ในภาคการผลิตเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 แต่การฟื้นตัวแตกต่างกันไปอย่างมีนัยสำคัญในแต่ละอุตสาหกรรม โดยธุรกิจในภาคบริการโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและสายการบิน คาดแนวโน้มการฟื้นตัวจะดำเนินต่อไปในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่จะฟื้นตัวกลับไปอยู่ในระดับก่อนเกิดโควิด 19 ได้ภายในปี 2565
“ในปี 2563 ถือว่าเป็นปีที่ยากลำบากมาก โควิด ทำให้รายได้และกระแสเงินสดของบริษัทลดลงอย่างมาก สิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้คือการเพิ่มขึ้นของอัตราภาระหนี้ซึ่งบ่งบอกถึงสถานะทางการเงินที่อ่อนแอ ส่วนปีนี้เศรษฐกิจดีขึ้นคาดจะขยายตัว 2.6% ฟื้นจากการหดตัวที่ระดับ 6.1% ในปี 2563 แต่การฟื้นตัวยังคงต้องพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นสำคัญ ทริสคาดว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ระดับ 3-4 ล้านคน”
อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมจะเป็นไปอย่างค่อนข้างช้าและอาจใช้เวลาจนถึงปี 2567 กว่าธุรกิจจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ และอัตราส่วนทางการเงินที่บ่งชี้ระดับภาระหนี้ในธุรกิจโรงแรมจะอยู่ในระดับสูงต่อไปในปี 2564 ก่อนที่จะลดลงมาอยู่ในกรอบระดับที่คาดหวังในปี 2565 และจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับก่อนเกิดโควิด 19 ได้ก็น่าจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยจนถึงปี 2566
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย มูลค่ายอดขายคอนโดมิเนียมสุทธิของผู้ประกอบการ 23 รายที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสลดลงจากจุดสูงสุดในปี 2561 ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาทมาอยู่ที่ประมาณ 1.22 แสนล้านบาทในปี 2562 และ 6.7 หมื่นล้านบาทในปี 2563 สำหรับในปี 2564 ทริส คาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 1 ปีกว่าที่ยอดขายคอนโดมิเนียมจะกลับไปอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับในปี 2563 ส่วนแนวราบ ผู้ประกอบการหลายรายใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อกระตุ้นยอดขายและยอดโอนในโครงการที่สร้างแล้วเสร็จ ทริสคาดว่าอัตรากำไรโดยรวมในปี 2563 ของผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจะลดลง 3-4% และอัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7-8 เท่าในปี 2563 จากที่ระดับ 4-5 เท่าในอดีต ทำให้ผลการดำเนินงานกลับไปอยู่เทียบเท่ากับระดับในปี 2562 ได้ภายในปลายปี 2565
ส่วนแนวโน้มธุรกิจธนาคารจะมีกำไรที่ดีขึ้นในปี 2564 คาดว่าการตั้งสำรองโดยรวมน่าจะลดลง หลังจากปี 2563 ธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 9 แห่งลดลงกว่า 30% จากปีก่อน
ทริสคาดว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจะช่วยให้ธุรกิจสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (นอนแบงก์) ดีขึ้น ยอดขายรถยนต์มีการฟื้นตัวกลับมาอย่างแข็งแกร่งและคาดว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องในปี 2564 แต่สินเชื่อรถจักรยานยนต์ยังคงมีความผันผวนจากการถดถอยลงอย่างมากของคุณภาพสินเชื่อ ทำให้การขยายสินเชื่อใหม่ยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวังในช่วงปีที่ผ่านมา ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยังมีการเติบโตที่ดีแต่การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากผู้ประกอบการรายใหม่จะกดดันความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการ ส่วนของธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล การลดลงของเพดานดอกเบี้ยได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ แต่จะบรรเทาลงจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เข้มแข็งขึ้นจากยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
ทริสฯคาดว่าผู้ประกอบการธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่น่าจะกลับมามีกำไรภายในปี 2564 การขาดทุนจากสต็อคน้ำมันจะมีน้อยลง หลังจากปี 2563 ทุกรายเผชิญความท้าทายอย่างยิ่ง โควิดทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับลดลงโดยเฉลี่ย 33% ในปี 2563 ปริมาณการใช้น้ำมันสำเร็จรูปปรับลดลง 12% โดยน้ำมันอากาศยานลดลงมากที่สุดถึง 60% ส่วนน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลปรับลดลงเพียง 2 -3%