SMPC กำไรพุ่ง 65% ปันผล 43 สต. ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10-15%

HoonSmart.com>> “สหมิตรถังแก๊ส” ปักธงยอดขายปี 2564 โต 10-15% ลุยตลาดถังแก๊สขนาดใหญ่มากขึ้น เพิ่มกำลังการผลิตถังขนาดใหญ่มาตรฐาน ออเดอร์ถังแก๊สพุ่ง รับ Work From Home รอบ 2 แย้มตลาดอเมริกาเหนือขายดี หนุนปี 2563 กวาดยอดขาย 3,973.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% กำไรสุทธิ 618 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64.9% จ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลังอีก 0.43 บาท/หุ้น ชู Dividend yield เกือบ 7%

นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส (SMPC) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 2564 บริษัทคาดยอดขายจะเติบโต 10-15% จากปี 2563 ขณะเดียวกันสำหรับปีนี้บริษัทก็จะมีการขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่ม อย่างในทวีปอเมริกาใต้ หลังจากที่ยอดขายในทวีปอเมริกาเหนือเติบโตแรง นอกจากนี้ยังมีประเทศในแถบแอฟริกาที่ยังมีโอกาสการเติบโตอีกมาก ขณะที่ตลาด CLMV ก็มียอดขายดีขึ้นเช่นเดียวกัน

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการขยายกำลังการผลิตถังแก๊สขนาดใหญ่ปริมาตรกว่า 500 ลิตรเพิ่มอีก วันละประมาณ 80 ใบ หรือราวเดือนละ 2,500 ใบ ซึ่งมีความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การขยายกำลังการผลิตดังกล่าวแล้วเสร็จ และพร้อมรองรับออเดอร์ใหม่ ส่วนถังแก๊สปกติกำลังการผลิตเดินเครื่องเต็มกำลังจากออเดอร์ที่เข้ามาต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังในช่วงเวลานี้คือการขนส่งที่อาจจะติดขัดบ้าง รวมไปถึงการปรับขึ้นอัตราค่าขนส่ง แต่บริษัทยังสามารถบริหารจัดการได้โดยพยายามทำให้ไม่ส่งผลกระทบถึงมาร์จิ้นมากนัก

ภาพรวมความต้องการถังแก๊สเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 กลับมาระบาดรอบ 2 อีกครั้ง ทำให้ประชาชนอยู่บ้านมากขึ้น หรือการทำงานจากบ้าน (Work From Home) จึงมีการทำอาหารรับประทานเอง ส่งผลให้ออเดอร์ถังแก๊สยังคงดีต่อเนื่อง

“ตอนนี้ไม่สามารถเดินทางไปไหนได้มาก เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรค เป็นโอกาสที่คนส่วนมากก็จะอยู่บ้าน ทำงานที่บ้าน ดังนั้นจึงมีการทำอาหารเองมากขึ้น ทำให้ออเดอร์ถังแก๊สขายดี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้บริษัทก็มีการขยายกำลังการผลิตถังขนาดใหญ่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น จึงเชื่อว่าปี 2564 บริษัทฯ จะยังมียอดขายที่เติบโตได้กว่า 10-15% ส่วนเรื่องการขนส่ง หรือราคาเหล็กก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม และบริหารจัดการอย่างใกล้ชิด ซึ่งบริษัทฯ มีแผนบริหาร และการรับมือแล้ว น่าจะไม่กระทบมาร์จิ้นมากนัก” นายสุรศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงยึดแนวทางดำเนินการตามแผนกลยุทธ์เดิมที่ช่วยให้บริษัทบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการปรับปรุงกระบวนการผลิต พร้อมทั้งวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตโดยการคิดค้นและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้เพิ่มขึ้น การควบคุมคุณภาพให้คงที่ การบริหารต้นทุนให้ต่ำลง การประหยัดพลังงานให้มากที่สุด

สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ งวดปี 2563 บริษัทฯ มียอดขายรวม 3,973.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 717.42 ล้านบาท หรือ 22% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิงวดปี 2563 อยู่ที่ 618.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 243.51 ล้านบาท หรือ 64.9% จากงวดปี 2562 ที่มีกำไร 375.20 ล้านบาท เนื่องจากลูกค้าในแถบเอเชียใต้ที่ชะลอการสั่งซื้อในช่วงปีก่อน เริ่มกลับมาสั่งซื้อบางส่วนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน รวมถึงลูกค้าในแอฟริกามีความต้องการเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยอดขายในสหรัฐอเมริกา ยังคงมีต่อเนื่องจากผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน

“ผลประกอบการออกมาเป็นที่น่าประทับใจทั้งรายได้และกำไรสุทธิ โดยกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 302.99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 45.4% จาก 667.09 ล้านบาท เป็น 970.08 ล้านบาท ในขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 20.5% เป็น 24.4% เป็นผลจากราคาเหล็กในตลาดโลกลดลงและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้อัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้น” นายสุรศักดิ์ กล่าว

ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2563 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท ซึ่งได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วสำหรับงวด 1 ม.ค.– 30 มิ.ย.2563 ในอัตราหุ้นละ 0.37 บาท เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2563 ยังเหลือเงินปันผลจ่ายสำหรับงวด 1 ก.ค.- 31 ธ.ค.2563 ในอัตราหุ้นละ 0.43 บาท หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 231 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 8 เม.ย.2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 30 เม.ย.2564