บล.แลนด์ฯเชียร์ซื้อ OR เป้า19.3-23.1 บาท/หุ้น

HoonSmart.com>>บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำซื้อหุ้น ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก ให้ราคาเป้าหมาย 19.3-23.1 บาท/หุ้น  คาดกำไรปีนี้ 1.1 หมื่นล้านบาท 

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 11 ก.พ.นี้ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำให้”ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 19.3-23.1 บาท/หุ้น มี Upside 28% จากราคา IPO 18 บาท

บริษัทใน SET ที่เทียบเคียงกับ OR ได้ คือ PTG เนื่องจากมีทั้งธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน และ Non-Oil จึงใช้ P/E เฉลี่ยของ PTG ที่ 20.9 เท่า เป็น Benchmark ในการประเมินราคาที่เหมาะสม แต่ด้วยเครือข่ายธุรกิจและกำไรของ OR ใหญ่กว่ามาก กำหนด Premium เพิ่ม 5-20% โดยหากอิงกำไรต่อหุ้น ที่ 0.92 จะได้ราคาเป้าหมายในช่วง 19.3-23.1บาท

“เรามองว่า OR เป็นหุ้นที่น่าสนใจจากเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่ การเป็น Flagship ของกลุ่ม ปตท. ในธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าปลีก เป็นผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันมาอย่างยาวนาน และขยายต่อยอดธุรกิจ Non-Oil เชิงรุกจะช่วยลดความผันผวนของธุรกิจน้ำมันได้ต่อเนื่อง คาดกำไรปีนี้กลับมาเติบโตจากฐานต่ำและจะเติบโตดียิ่งขึ้น หากการเดินทางด้วยอากาศยานกลับมาปกติ รวมถึงมีกระบวนการการซื้อหุ้นใน SET ของผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินจำนวน 390 ล้านหุ้น ประมาณ 13% ของหุ้นที่เสนอขาย”

กำไรของ OR ในช่วงปี 2560-2562 อยู่ที่ 9,800  ล้านบาท 7,900 ล้านบาท และ 1.1 หมื่นล้านบาทตามลำดับ แม้กำไรของ Non-Oil จะเติบโตสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่เพียงพอชดเชยความผันผวนของธุรกิจน้ำมันได้ กำไรปี 61 ที่ลดลง 1,900 ล้านบาท เกิดจาก GP ของธุรกิจน้ำมันที่ลดลง 3,100 ล้านบาท จากขาดทุนจาก สต๊อก ขณะที่กำไรที่เพิ่มขึ้นในปี 62 ก็เกิดจาก GP ของธุรกิจน้ำมันที่ 2,100 ล้านบาท  โดยเกิดจากค่าการตลาดที่เพิ่มขึ้น สำหรับกำไรงวด 9 เดือนปี 2563  อยู่ที่ 5,900 ล้านบาท ลดลง  34% จากช่วงเดียวกันปีก่อน  คาดว่ากำไรในปี 2564  จะอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาทกำไรต่อหุ้น  0.92  บาท

ตลาดน้ำมันและค้าปลีกยังคงเติบโตดีในระยะยาว ใน 10 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่เป็น Oil BU) ยอดขายน้ำมันของ OR เติบโตสม่ำเสมอเฉลี่ย 2.3% ต่อปี และรักษาตำแหน่งผู้นำด้วยส่วนแบ่งตลาดราว 39-42% ไว้ได้ต่อเนื่อง รวมทั้งค่าการตลาดก็เพิ่มขึ้นจากระดับ 0.75 บาท/ลิตร เป็น 1.08 บาท/ลิตร

นอกจาก 3 ธุรกิจหลักแล้ว  โออาร์ยังถือคอครองสินทรัพย์และเงินลงทุนที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ 1. การถือครองที่ดิน (กรรมสิทธิ์) ใน ptt station 135 แห่ง กว่า 1,000 ไร่ ราคาทุน 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งมองว่าราคาตลาดน่าจะสูงกว่านั้นมาก เพราะถือครองมานานและมีศักยภาพการพัฒนาพื้นที่ในอนาคต  2. ถือหุ้นในบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ  (BAFS ) จำนวน 7.1% มูลค่า 922 ล้านบาท  คาดมูลค่าจะเพิ่มขึ้น หากการเดินทางด้วยอากาศยานกลับมาปกติ  3.ถือหุ้นบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย (THAPPLINE) จำนวน 40.5% มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งสร้างส่วนแบ่งกำไรสม่ำเสมอมาโดยตลอด และ 4. ถือหุ้นบริษัท  Flash Express จำนวน  9.6% มูลค่า 1,200 ล้านบาท  ซึ่งให้บริการธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ มีจุดรับส่งพัสดุ มากกว่า 2,500 แห่ง ซึ่งยอดส่งพัสดุในปี 25 63 เติบโตกว่า 4000% และมีโอกาสเติบโตยิ่งขึ้นตาม    เทรนด์การซื้อของออนไลน์ (KEX เพิ่งทำ IPO และมีมูลค่าตลาดกว่า 1 แสนล้านบาท ในปัจจุบัน)