บง.ศรีสวัสดิ์ ไตรมาส 2/61 กำไรสุทธิ 90.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วน 6 ดือนกำไร 198 ล้านบาท ชี้รายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อพุ่งรับพอร์ตลูกหนี้โต 663%
บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ (BFIT) แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2561 มีกำไรสุทธิ 90.71 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.41 บาท เพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 80.99 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.37 บาท ส่วนงวด 6 เดือน ปี 2561 กำไรสุทธิ 198.50 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.90 บาท เพิ่มขึ้น 80% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 110.38 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.50 บาท
ในงวดไตรมาส 2/2561 บริษัทฯ มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 348.71 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจํานวน 444.93 ล้านบาท โดยหลักๆ มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อจํานวน 462.40 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของพอร์ตลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้น 663% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2560
นอกจากนี้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจํานวน 96.22 ล้านบาท ซึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายจากเงินรับฝากจํานวน 16.68 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของเงินรับฝากที่เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2560 การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากเงินนําส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากและกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจํานวน 13.18 ล้านบาท ซึ่งแปรผันตามการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนเงินรับฝาก ตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืม การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืมจํานวน 66.37 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมเพื่อใช้ในการดําเนินธุรกิจของบริษัท
สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับเงินให้สินเชื่อมีจํานวน 33.98 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของพอร์ตลูกหนี้ของบริษัท
นอกจากนี้บริษัทฯ มีการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายจากการดําเนินงานอื่นๆ จํานวน 213.25 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าภาษีอากร จํานวน 19.72 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกบัการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าบริหารจัดการ ค่าที่ปรึกษาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ จํานวน 193.53 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อและการขยายตัวของธุรกิจ การเพิ่มขึ้นของรายการหนี้สงสัยจะสูญจํานวน 56.05 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อนโยบายการจัดชั้นและการกันสํารองตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จํานวน 12.01 ล้านบาท ซึ่งแปรผันตามการเพิ่มขึ้นของกาไรกำไรก่อนภาษีเงินได้