PTTEP ปันผลสูง เป้าขายปีนี้โต 6% นักวิเคราะห์เพิ่มกำไร-ราคาหุ้น

HoonSmart.com>>หุ้นไทยดิ่งแรง 1.98% 3 กลุ่มนักลงทุนสถาบันถล่มยับกว่า 7 พันล้านบาท เน้นตัวใหญ่ ปตท.สผ.แข็งแกร่ง เปิดผลงานไตรมาส 4/63 กำไรเพียง 2,527ล้านบาท เจอขาดทุนพิเศษ 2 พันล้านบาท ทั้งปีกำไรเหลือ 22,664 ล้านบาท ร่วง 54% บอร์ดใจดีแจกปันผลอีก 2.75 บาทต่อหุ้น ผลตอบแทน 2.55% รวมทั้งปีขนกำไร 75% ตอบแทนผู้ถือหุ้น ปี 64 ตั้งงบลงทุน 132,174 ล้านบาท เพิ่มปริมาณการขาย 6% มองหาโอกาสขยายการลงทุน นักวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไร และราคาเป้าหมาย บล.ดีบีเอสให้มูลค่า 125 บาท บล.บัวหลวงเพิ่มจาก112 บาท เป็น 130 บาท

ตลาดหุ้นวันที่ 28 ม.ค. ทรุดตามตลาดต่างประเทศ ดัชนีไหลลงไม่หยุด สุดท้ายปิดที่ 1,468.51 จุด ร่วงลง 29.62 จุดหรือ 1.98% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 92,614.64 ล้านบาท โดยบัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 2,804 ล้านบาท ตามด้วยสถาบันไทย 2,317 ล้านบาท และต่างชาตื 2,249 ล้านบาท โดยมีนักลงทุนไทยเก็บเจ้าเดียว 7,370 ล้านบาท เน้นขายหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นมาสูงมาก เช่น หุ้นไฟฟ้าบางตัว เช่าซื้อ ธนาคารพาณิชย์ ปิโตรเคมี และพลังงาน ลดลงมากกว่า 4% อย่างไรก็ตาม หุ้นบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) ลดลงเพียง 1.82% ราคาปิดที่ 108 บาท ส่วนหนึ่งรอลุ้นผลกำไรที่จะออกมา และราคาทรงตัวบริเวณ 110 บาทมานาน

ด้านนายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) เปิดเผยว่า ในปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 5,357 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 167,418 ล้านบาท ลดลง 16% จากปี 2562 ซึ่งมีรายได้รวม 6,413 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 198,822 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยลดลง 18% มาอยู่ที่ 38.92 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ  เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลงมาก และบริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ โดยตั้งด้อยค่าของสินทรัพย์ โครงการมาเรียนา ออยล์ แซนด์ ประเทศแคนาดา จากการคาดการณ์ราคาน้ำมันในระยะยาวที่จะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยากต่อพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ และโครงการเยตากุน ประเทศเมียนมา จากการปรับแผนการผลิตลดลงตามศักยภาพปัจจุบันของแหล่งผลิต

อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 บริษัทมีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 354,052 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เมื่อเทียบกับ 350,651 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 2562 และมีผลกำไรจากการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน (Hedging) จำนวน 112 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 3,632 ล้านบาท

“ในปี  2563 ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิ 720 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 22,664 ล้านบาท ลดลง 54% จากปี 2562 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 1,569 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 48,803 ล้านบาท โดยยังคงสามารถรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วย 30.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 68% ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์  เนื่องจากเราได้การปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้โครงสร้างต้นทุนลดลง แต่ยังคงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และยังสามารถขยายธุรกิจได้ตามเป้าหมาย โดยมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งด้วยเงินสดในมือ 3,804 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 114,261 ล้านบาท” นายพงศธรกล่าว

สำหรับในปี 2564 ปตท.สผ.ตั้งงบประมาณไว้ที่ 4,196 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 132,174 ล้านบาท เพื่อรักษากำลังการผลิตจากโครงการหลัก เร่งพัฒนาโครงการสำคัญเพื่อเริ่มการผลิตให้ได้ตามแผนที่วางไว้ และดำเนินกิจกรรมการสำรวจเพื่อการเติบโตในระยะยาว โดยตั้งเป้าหมายปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยไว้ที่ 375,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น  6% จากปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งจะมาจากการเริ่มการผลิตปิโตรเลียมใน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ และโครงการมาเลเซีย – แปลงเอช ยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมทั้งธุรกิจใหม่ตามแผนกลยุทธ์ระยะยาว เพื่อสร้างการเติบโตให้กับ ปตท.สผ. ในอนาคต

ด้านคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลอีกหุ้นละ 2.75 บาท  ให้ผู้ถือหุ้นที่มีชื่อในทะเบียนวันที่ 2 มี.ค. ขึ้นเครื่องหมาย  XD วันที่ 1 มี.ค. และจะจ่ายเงินในวันที่ 26 เม.ย.2564   หลังจากจ่าย 6 เดือนแรกไปแล้วในอัตรา 1.50 บาท รวมทั้งปี 2563  บริษัทจ่าย 4.25 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 75.22% เทียบกับกำไรต่อหุ้น 5.65 บาทต่อหุ้น  ทั้งนี้เงินปันผลอีก 2.75 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 2.55 % เทียบกับราคาหุ้นปิดที่ 108 บาท

ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2563 PTTEP มีกำไรสุทธิเพียง 2,527 ล้านบาท ลดลงถึง 64.90% จากไตรมาสที่ 3/2563 มีกำไรสุทธิ 7,201 ล้านบาท และทรุดลง 78% จากไตรมาส 4/2562 ที่มีกำไรสุทธิ 11,620 ล้านบาท  ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ เช่น บล.เอเซีย พลัส คาดกำไรสุทธิ อยู่ที่ 3,800 ล้านบาท  หลังรวมผลขาดทุนพิเศษประมาณ 2,000 ล้านบาท ถ้าตัดรายการพิเศษกำไรปกติจะอยู่ที่ 5,800 ล้านบาท คาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปี 2563 ที่ 23,948 ล้านบาท

ขณะที่ปี 2564 คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 27,255 ล้านบาท ดีขึ้นจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลง ถึงแม้ราคาขายก๊าซจะมีแนวโน้มปรับลดลงก็ตาม โดยแนะนำเก็งกำไรตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ได้ราคาเหมาะสมที่ 118 บาท สำหรับการลงทุน แนะนำทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว

ส่วนบล.บัวหลวง คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 4/63 ที่ 6,846 ล้านบาท รวมกำไรสุทธิทั้งปีคาดว่าอยู่ที่ 25,884 ล้านบาท ส่วนในปี 2564 ปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น 21% มาเป็น 3.74 หมื่นล้านบาท และ 16% มาเป็น 3.92 หมื่นล้านบาทในปี 2565  จึงปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจาก 112 บาท  เป็น 130 บาท

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) เพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 125 บาท หลังเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้นที่ 7.34 บาท เพิ่มขึ้น 25.5% และคาดผลตอบแทนปันผล 2.7% สำหรับผลการดำเนินงานปี 2564

ด้านตลาดหุ้นที่ทรุดลงเกือบ 30 จุด นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นปรับลงตามตลาดภูมิภาค โดยปัจจัยกดดันมาจากสหรัฐฯ เมื่อคืนมีแรงขาย Sell on Fact หลังการรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และการประชุมเฟด ที่คงดอกเบี้ยและวงเงิน QE อีกทั้งนักลงทุนกังวลเรื่องการลดสภาพคล่องส่วนเกินออกจากระบบของธนาคารจีน โดยถอนเงินออกประมาณ 150,000 ล้านหยวน

ส่วนแนวโน้มตลาดวันที่ 29 ม.ค.64 คาดว่าตลาดจะปรับลดลงต่อ จากหุ้นขนาดใหญ่ปรับฐาน ประเมินแนวรับที่ 1,450 ส่วนแนวต้านที่ 1,475-1,480 จุด  กลยุทธ์การลงทุนแนะนำรอตลาดพักฐานเสร็จก่อน ติดตามการรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และการรายงานตัวเลข GDP ของไทยและสหรัฐในสัปดาห์หน้า