SCBAM : “ตัวเลข GDP ของจีนในไตรมาส 4 ขยายตัวดีขึ้น”

๐ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากความคืบหน้าเรื่องวัคซีน โดยขณะนี้วัคซีนของบริษัท Astrazeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Moderna ได้รับอนุมัติให้ใช้วัคซีนต้านไวรัส COVID-19 สำหรับการรักษากรณีฉุกเฉินได้และเริ่มมีการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสในหลายประเทศ อย่างเช่นสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไปแล้วราว 13 ล้านโดส อีกทั้งล่าสุดนาง Jenet Yellen รมว.คลังสหรัฐฯ แถลงต่อคณะกรรมการด้านการเงินของวุฒิสภา ในการสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่นาย Biden เสนอไว้คิดเป็นวงเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 8.9% ของ GDP) และเรียกร้องให้การอนุมัติในสภาเป็นไปโดยเร็ว เพราะสถาณการณ์ระบาดของไวรัส COVID-19 ยังคงยืดเยื้อ

๐ ตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน ธ.ค. สหรัฐฯ หดตัวลง โดยตัวเลขดังกล่าวหดตัวอยู่ที่ระดับ -0.7% MoM ซึ่งนับเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ขณะที่เดือนก่อนหน้าหดตัวอยู่ที่ระดับ -1.4%MoM เป็นผลมาจากยอดขายสินค้าหมวดหลักลดลง ไม่ว่าจะเป็นหมวดอิเล็กทรอนิกส์ และร้านอาหาร ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการแพร่ระบาด COVID-19 ในสหรัฐฯ ที่ยังคงมีผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับสูง

๐ ตัวเลข GDP ในไตรมาส 4 ของจีนขยายตัวดีขึ้น โดยที่ตัวเลขเศรษฐกิจเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6.5% YoY จากไตรมาสก่อนที่ระดับ 4.9%YoY สะท้อนเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวได้ดีจากการที่รัฐบาลจีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศ ประกอบการฟื้นตัวของภาคการผลิตและส่งออกเป็นสำคัญ

๐ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) คงนโยบายการเงินเดิมตามคาด โดยผลการประชุมในวันที่ 20-21 ม.ค. ที่ผ่านมา ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีมติให้คงนโยบายการเงินเดิมทั้งเป้าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งอยู่ที่ระดับ -0.1% และ 0% ตามลำดับ นอกจากนี้ยังคงเป้าหมายการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่างๆ โดยวงเงินในการเข้าซื้อ ETFs และ REITs ต่อปีที่อยู่ที่ 12 ล้านล้านเยนและ 1.80 แสนล้านเยน

๐ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงนโยบายการเงินเดิมตามที่ตลาดคาด โดยยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่างๆ อยู่ในระดับต่ำ ไม่ว่าจะเป็น Deposit Facility Rate ที่ะดับ -0.50%, Main Refinancing Rate ที่ระดับ 0.0% และ Marginal Lending Rate ที่ระดับ 0.25% อีกทั้ง ECB ยังคงการเข้าซื้อสินทรัพย์ผ่านมาตรการ QE พิเศษ ภายใต้วงเงิน 1.85 ล้านล้านยูโร ซึ่งจะเข้าซื้อสินทรัพย์ผ่านมาตรการดังกล่าวไปจนถึงเดือน มี.ค. 2022 เป็นอย่างน้อย