ต่างชาติขายพักยก รอซื้อรอบใหม่ โพลล์มองดีQ1 เป้าสูงสุดปีนี้ 1,631

HoonSmart.com>> ต่างชาติถือโอกาสทำกำไร กดดัชนีลงต่ำกว่า 1,500 จุด ผสมความกังวลสหรัฐขึ้นภาษีกระทบกำไรบจ. โนมูระฯคาดกระแสเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่-เอเชียต่อเนื่อง โพลล์นักวิเคราะห์มองไตรมาส 1 แนวโน้มสดใส ชูหุ้นเด่น ADVANC-BDMS-CPALL-KBANK-PTTGC คาดดัชนีปีนี้สูงสุดเฉลี่ย 1,631 จุด ต่ำสุด 1,338 จุด ปิดสิ้นปี 1,559 จุด กกร.คาดโควิดกระทบเศรษฐกิจ 0.5% ปรับเป้าปีนี้โตในกรอบ 1.5-3.5%

6 ม.ค.64 ตลาดพยายามไปต่อ จากเมื่อวานดัชนีดีดขึ้นแรงทะลุ 1,506 จุดไปอย่างรวดเร็ว แต่ไปต่อไม่ไหว ในช่วงบ่ายเจอแรงขายร่วงลงแรง 20 จุด แตะระดับต่ำสุด 1,485.79 จุด ก่อนฟื้นมาปิดที่ 1,492.36 จุด ติดลบ 14.29 จุดหรือ-0.95% มูลค่าซื้อขายหนาแน่น 142,327.03 ล้านบาท

แรงขายมาจากนักลงทุนต่างชาติ 1,573 ล้านบาท และนักลงทุนไทย 199.75 ล้านบาท ด้านสถาบันไทยซื้อน้อยลงเพียง 959 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ซื้อ 813.96 ล้านบาท

นักลงทุนพุ่งเป้าทำกำไรกลุ่มไฟฟ้าที่ราคาดีดขึ้นแรงก่อนหน้า นำโดย EA , GPSC รวมถึงหุ้นเดลต้าฯที่ติดแคชบาลานซ์ และหุ้นที่มีรายได้จากสหรัฐอเมริกา เช่น IVL และ TU คาดได้รับผลกระทบหากสหรัฐฯ ขึ้นภาษี นอกจากนี้ตลาดโดยรวมยังลดลงตามดาวโจนส์ฟิวเจอร์สร่วงกว่า 100 จุด หลังผลการเลือกตั้งสว.พรรคเดโมแครต มีคะแนนนำ ขณะเดียวกันมีแรงซื้อเข้ากลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น และมีแรงซื้อหุ้นขนส่งและธนาคาร ช่วยพยุงตลาด

นักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย ) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นด้วยเงินต่างชาติ ท่ามกลางตัวเลขผู้ติดโควิด-19 จำนวนมาก ดัชนีที่ขึ้นไปทำนิวไฮ 1,513 จุด เปราะบาง เมื่อยืนไม่ได้ จึงถูกขายทำกำไรออกมา แต่เงินของต่างชาติ ไม่ได้ขายหุ้นไปไหน แค่ชะลอการลงทุน เพื่อรอความชัดเจนการเลือกตั้ง วุฒิสภาของสหรัฐ บนความคาดหวังว่า พรรคเดโมแครต ของโจ ไบเดน จะคุมเสียงได้ทั้ง 3 สภา  สร้างปรากฎการณ์ “บลูเวฟ” ซึ่ง โจ ไบเดน จะเข้าทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการ 20 ม.ค.นี้

สำหรับผลของ “บลูเวฟ”ทำให้การบริหารงานของ โจ ไบเดน ง่ายขึ้น จากการคุมทุกสภา แนวนโยบายการขึ้นภาษีธุรกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้บริษัทมีกำไรลดลง

“ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของโจ ไบเดน  จะใช้นโยบายขาดดุลการคลังที่มากขึ้น ฉุดเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง จะเกิดผลดีกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ เงินจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ทุกคนอยากเห็น บลูเวฟ และหากไม่เกิดบลูเวฟ ค่าเงินสหรัฐ ยังอ่อนค่าไปอีกนาน “ นักวิเคราะห์กล่าว

บล.โนมูระ พัฒนสิน มองผลกระทบในระยะสั้น ตลาดค่อนข้างกังวลต่อกรณีเดโมแครตชนะ เพิ่มความเสี่ยงด้านนโยบายการขึ้นภาษีนิติบุคคล จาก 21% สู่ 24-28% จะกดดันกำไรบจ.และหุ้นเสี่ยงปรับฐาน กรณีมีการปรับขึ้นภาษีอาจกระทบหุ้นไทยที่มีฐานในสหรัฐ เช่น IVL และหุ้น TU (ฐานการผลิตราว 10%)

ส่วนผลกระทบในระยะกลาง-ยาว บล.โนมูระ พัฒนสิน ประเมินการได้มาของสว.เดโมแครต อีก 2 เสียง จะทำให้การขึ้นภาษีเป็นไปได้น้อย แต่จะหนุนนโยบายการคลัง ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯระยะยาวดีขึ้น กระแสเงินจะยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่และตลาดหุ้นเอเชียต่อเนื่อง

ด้านบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองกรณีเกิด”บลูเวฟ”ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสพักฐาน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ขึ้นมามาก ส่วนบริษัทของไทย เช่น IVL มีสัดส่วน EBITDA จากสหรัฐฯ ราว 30-40%

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนแถลงผลการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนจำนวน 23 บริษัท แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้น DELTA หุ้นในกลุ่มการท่องเที่ยว อาทิ กลุ่มสายการบิน และโรงแรม ส่วนหุ้นที่แนะนำซื้อตรงกันตั้งแต่ 4 บริษัทขึ้นไปได้แก่ 1. ADVANC เป็นหุ้นแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดที่ดี ผลตอบแทนเงินปันผลประมาณ 4.11% น่าจะเป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ 2.BDMS กลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในไทย แนวโน้มกำไรฟื้นตัว 3.CPALLได้ผลดีจากมาตรการภาครัฐ 4.KBANK เป็นที่สนใจของต่างชาติ 5.PTTGC

กลยุทธ์แนะนำกระจายการลงทุน เช่น หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 28.43% เป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้เฉลี่ย 1,559 จุด สูงกว่าสิ้นปีก่อนที่ 1,449 คาดดัชนีสูงสุดเฉลี่ย 1,631 จุด และต่ำสุด 1,338 จุด แนวโน้มในไตรมาส 1 ผลโหวตส่วนใหญ่ประเมินดัชนี มีทิศทางบวก

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดว่าเศรษฐกิจในปี 2564 จะขยายตัวได้ในกรอบ 1.5% ถึง 3.5% หากควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายในระยะเวลา 3 เดือน ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าขยายตัวได้ 2.0% ถึง 4.0% เช่นเดียวกับส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 3.0% ถึง 5.0% จากเป้าหมายเดิมโต 4-6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 0.8% ถึง 1.0%