SCBS-บล.กสิกรไทย ชี้กองทุนต่างประเทศเริ่มสนใจหุ้นไทย เหตุราคาไม่แพง คาดอีกไม่นานได้เห็น “ฟันด์โฟลว์” ไหลกลับ “2 โบรก” แนะซื้อหุ้นใหญ่รอท่า ชู “PTT-PTTEP-IVL-CPALL- BBL–KTB-KCE-HANA” เด่น
นายพรเทพ ชูพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) เปิดเผยว่า แม้ผลสำรวจ “บลูมเบิร์ก” ล่าสุดจะพบว่ากองทุนต่างประเทศมีมุมมองต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่แย่สุดในรอบ 23 ปี แต่ปรากฏว่ากองทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลก 2-3 แห่ง กลับมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ว่าเริ่มมีความน่าสนใจ เพราะราคาไม่แพง โดยเฉพาะตลาดหุ้นในประเทศที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจดี ซึ่งหนีไม่พ้นตลาดหุ้นไทย
“ตรงนี้เป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มน่าสนใจ และเราจะได้เห็นฝรั่งกลับมาในเร็วๆนี้”นายพรเทพกล่าว
นายพรเทพ กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้ว 2 แสนล้านบาท โดยขายหนักมากในช่วงเดือนเดือนพ.ค.-มิ.ย.กว่า 1 แสนล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในหุ้นกลุ่ม SET50 ลดลงเหลือ 23-24% จากปกติที่เคยถือในสัดส่วน 27-28% ดังนั้น แรงขายหุ้นของต่างชาติน่าจะชะลอลงมากแล้ว และหากเงินลงทุนจากต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย ก็จะเข้าซื้อหุ้นในกลุ่ม SET50 ที่ราคายังไม่แพง
“เราผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดที่ดัชนีฯลดลงไปแตะ 1,575 จุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งราคาหุ้นตอนนี้ถือว่าถูก และถ้าไปรอซื้อแถวดัชนี 1,800 จุด ตอนนั้นอัพไซด์ก็น้อยแล้ว”นายพรเทพระบุ
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจและราคายังไม่แพง คือ หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน โรงกลั่น ปิโตรเคมี กลุ่มค้าปลีก และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ได้แก่ PTT ,PTTEP ,PTTGC ,IVL ,CPALL ,ROBIN ,BJC และ BDMS ขณะที่หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตแข็งแกร่ง อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และค่าเงินเหรียญสหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ได้แก่ BBL ,KTB ,KCE ,HANA ,CPF และTU
นายพรเทพ กล่าวว่า SCBS ประเมินว่า ณ สิ้นปีนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะอยู่ที่ 1,900 จุด เนื่องจากสงครามการค้าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริงไม่มาก และสุดท้ายจะจบที่การเจรจา ส่วนกำไรตลาดต่อหุ้นปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 109.4 บาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนที่กำไรตลาดต่อหุ้นอยู่ที่ 99.5 บาท ยังเป็นจุดที่ทำให้กองทุนในประเทศทยอยซื้อหุ้น หลังดัชนีฯลดลงไป 10% แต่คงตอบไม่ได้ว่าเมื่อนักลงทุนต่างชาติกลับมาแล้วกองทุนและรายย่อยจะขายหุ้นออกหรือไม่
นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย SCBS กล่าวว่า ในกรณีที่เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มแบงก์ พลังงาน ปิโตรเคมี และโรงแรมบางตัว จะเป็นกลุ่มแรกๆที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ ส่วนหุ้นสนามบินอย่าง AOT ทาง SCBS ไม่ได้แนะนำ เพราะมองว่าราคาขณะนี้แพงเกินไป และราคาหุ้นได้สะท้อนผลกำไรในอนาคตไปมากแล้ว
ส่วนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะได้ประโยชน์จากการเร่งรัดโครงการลงทุนภาครัฐนั้น ตอนนี้ควรหลีกเลี่ยง แต่หากจะลงทุนก็ควรจะเป็นการเก็งกำไรระยะสั้นตามข่าวการเปิดประมูลโครงการภาครัฐมากกว่า เนื่องจากมาร์จิ้นของหุ้นในกลุ่มรับเหมามีแนวโน้มลดลง จากต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ค่าแรง และราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น
นายกำพน อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ในระยะสั้นน่าจะเริ่มเห็นเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยบ้างแล้ว แต่คงไม่มาก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และหากพ้นช่วงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในต้นเดือนพ.ย.ไปแล้ว และประเด็นสงครามการค้าคลี่คลาย เงินทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุนไทยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ขณะนี้กองทุนต่างประเทศ เช่น กองทุนเทมเพิลตัน และโกลด์แมน แซคส์ เห็นว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่กลับมามีความน่าสนใจอีกครั้ง โดยเฉพาะตลาดหุ้นในประเทศที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คือ เงินเฟ้อต่ำและทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง ซึ่งในกลุ่มนี้จะมีตลาดหุ้นไทยและสิงคโปร์ ดังนั้น ในช่วงจากนี้ไปจะได้เห็นเงินทุนต่างชาติกลับเข้าซื้อหุ้นไทย
สำหรับปีนี้ บล.กสิกรไทย ประเมินว่าดัชนีฯจะยืนอยู่ที่ 1,898 จุด จาก 3 ปัจจัยบวก คือ 1.การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า 2.เศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ยังเติบโตต่อเนื่อง และ3.สงครามการค้าไม่ลุกลาม แต่หากทั้ง 3 ปัจจัยไม่เกิดขึ้น เช่น การเลือกตั้งเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด เศรษฐกิจในประเทศตลาดเกิดใหม่ชะลอตัว และถูกโจมตีค่าเงิน รวมถึงสงครามการค้าลุกลามจากที่เคยเป็น อาจได้เห็นดัชนีฯลดลงแตะ 1,423 จุด
ขณะที่กำไรตลาดต่อหุ้นในปีนี้จะอยู่ที่ 112.7 บาท โดยที่ผ่านมาบล.กสิกรไทยปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เป็นเติบโต 4.5% จากเดิม 4.2% เนื่องจากการส่งออกและการท่องเที่ยวเติบโตแข็งแกร่งกว่าคาด การลงทุนภาครัฐฟื้นตัวต่อเนื่อง การบริโภคฟื้นตัว และอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ส่วนค่าเงินบาทเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 32.5-33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ราคาน้ำมันปีนี้อยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และปีหน้า 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นายประกิต กล่าวว่า ในส่วนหุ้นที่ราคาน่ายังสนใจ ได้แก่ หุ้นกลุ่มแบงก์และนอน-แบงก์ คือ BBL ,KTB และMTC หุ้นกลุ่มพลังงาน โรงกลั่นน้ำมัน ปิโตรเคมี คือ PTT ,PTTEP ,IRPC และIVL หุ้นรับเหมาก่อสร้าง คือ STEC และCK หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้ประโยชน์จากค่าเงิน คือ KCE และHANA หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีกำไรเติบโต คือ ORI ,LH ,AP ,SPALI และQH หุ้นโรงแรมและค้าปลีก และกลุ่มขนส่ง คือ CPN ,CPALL ,BEAUTY และBEM
ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง คือ หุ้นกลุ่มบันเทิง ,BCH และSTPI ขณะที่หุ้นกลุ่มสื่อสารแนะนำเลี่ยง คือ DTAC เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในการเข้าประมูลคลื่นโทรศัพท์มือถือ