บลจ.ทาลิส เผยกลยุทธ์รับมือตลาดหุ้นผันผวน ลดสัดส่วนหุ้น กระจายการลงทุนมากขึ้น และถือเงินสดมากขึ้น รอจังหวะเข้าลงทุนเพิ่ม คาดก่อน ก.ย. จะเป็นจังหวะลงทุน เชื่อการเมืองชัด สงครามการค้าจบ
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทาลิส กล่าวว่า ที่ผ่านมา บลจ.ทาลิส ได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับความผันผวนของตลาดหุ้น โดยการลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง ถือเงินสดมากขึ้นและกระจายการลงทุนมากขึ้น เพื่อลดความผันผวนและรอจังหวะเข้าลงทุนเพิ่มเมื่อมีแนวโน้มราคาหุ้นปรับตัวในทิศทางบวก
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่า จะยังคงผันผวนจากปัจจัยลบจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าสหรัฐอเมริกาและจีน และการเร่งปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ทำให้เงินลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) เนื่องจากกังวลว่าค่าเงินในประเทศเหล่านี้จะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์
“ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นไทยเพราะเศรษฐกิจไม่ดี หรือ มีความวุ่นวายทางการเมือง แต่รอบนี้ต่างจากทุกรอบ เพราะเศรษฐกิจไทยดี แต่ต่างชาติขายจากความกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เพราะหากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า การลงทุนในประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ค่าเงินอ่อน จะทำให้ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน เงินเลยไหลกลับไปอยู่ในดอลลาร์ และตราบใดที่ดอกเบี้ยในประเทศต่ำกว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯ แรงกดดันเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนก็จะยังอยู่ ซึ่งหากครึ่งปีหลังนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมา ตลาดหุ้นไทยจะกลับไปเป็นบวกได้ยาก” นายประภาส กล่าว
นายประภาส กล่าวอีกว่า สำหรับปัจจัยที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ มี 2 เรื่อง คือ การกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน และสงครามการค้าระหว่างประเทศคลี่คลาย
“เชื่อว่า ในไตรมาส 3 ทั้งสองประเด็นนี้จะมีความชัดเจน และบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้น เพราะคาดว่ารัฐบาลจะประกาศวันเลือกตั้งได้ในเดือน ส.ค. ขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะผ่อนคลายลงในช่วง 2 เดือนก่อนที่จะมีการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ในเดือน พ.ย. ดังนั้นภายในเดือน ก.ย. จึงเป็นจังหวะที่น่าลงทุน” นายประภาส กล่าว
พร้อมกันนี้ นายประภาส แนะนำการลงทุนในกองทุนเปิดทาลิส เฟล็กซิเบิ้ล (TLFLEX) เนื่องจากกองทุนเน้นลงทุนหุ้น โดยใช้กลยุทธ์การเลือกหุ้นรายตัวที่มีแนวโน้มการเติบโตดีกว่าอุตสาหกรรมหรือตลาดโดยรวม แต่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนจากหุ้นมาเป็นตราสารหนี้ได้ทันที หากตลาดมีความผันผวนสูงหรือมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เพื่อให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว
“ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive คือ หุ้นที่มีแนวโน้มของกำไรเติบโตดี มีความผันผวนของกำไรน้อย มีอัตราการปันผลในระดับสูง และมีค่าพี/อีต่ำ เช่น ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน โดยหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรผันผวนและค่าพี/อีสูง เพราะในช่วงที่ตลาดขาดความเชื่อมั่น หุ้นกลุ่มนี้จะโดนขายทำกำไรเป็นกลุ่มแรก” นายประภาส กล่าว