นักลงทุนสถาบันชี้เป้า “หุ้นเสี่ยงถูกทุบ” แนะเลี่ยงหุ้นเติบโต พี/อี สูง

ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แห่งหนึ่ง กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์ในช่วงนี้ที่มีหุ้นหลายตัวที่ราคาปรับลดลงรุนแรงเกินปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ไม่ปกติ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลางและเล็ก ที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี) สูง

“ในกลุ่มนักลงทุนสถาบันมีการประเมินกันว่า น่าจะมีกระบวนการที่ต้องการทำกำไรในช่วงขาลง โดยจะเข้าไป Short Sell หุ้นที่มีพี/อี สูงๆ จากนั้นจะปล่อยข่าวลบออกมาเพื่อให้ราคาปรับลดลง และทุบราคาต่อ ก่อนที่จะไปซื้อคืน” นักลงทุนสถาบันรายนี้ กล่าว

นอกจากนี้ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นผันผวนรุนแรงเป็นผลมาจากการใช้โปรแกรมเทรด เนื่องจากโปรแกรมจะไม่ได้พิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน เมื่อราคาถึงระดับที่ตั้งค่าไว้จะดำเนินการตามคำสั่งทันที

“โปรแกรมเทรดไม่สนใจว่า ผู้บริหารจะออกมาแก้ข่าวอย่างไร สนใจแต่ราคาหุ้นอย่างเดียว ทำให้ราคาขึ้นลงเกินปัจจัยพื้นฐาน และทำให้เกิดสถานการณ์ที่ KTC (บริษัท บัตรกรุงไทย) ลงไปฟลอร์และกลับมาเกือบซิลลิ่งได้ในวันรุ่งขึ้น” ผู้บริหาร บลจ. กล่าว

พร้อมกันนี้ ยังเตือนนักลงทุนให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่มีโอกาสจะเป็นเหยื่อของกระบวนการทุบหุ้น ได้แก่
1. หุ้นที่มีสภาพคล่องพอสมควร
2. หุ้นที่มี พี/อี สูง
3. หุ้นที่นักลงทุนสถาบันไม่มีการซื้อขาย หรือ นักลงทุนสถาบันจะลงทุนระยะยาว

“ส่วนใหญ่หุ้นที่เข้าข่ายมักจะเป็นหุ้นขนาดกลางและเล็ก เป็นหุ้นเติบโต มีพี/อี 40-50 เท่า หุ้นกลุ่มนี้ถ้าจบรอบจะโดนหนักทุกตัว แต่ถ้าประกาศผลประกอบการออกมาแล้วมีกำไรแข็งแกร่งราคาก็จะกลับขึ้นไปได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะลงทุนหุ้นเติบโตต้องติดตามดูผลประกอบการกันทุกไตรมาส” ผู้บริหาร บลจ. กล่าว

อย่างไรก็ตาม หลังจากตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในรอบนี้ ทำให้หุ้นเติบโตหลายตัวราคาปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และความเสี่ยงต่ำลง

“ในระยะยาวหุ้นเติบโตยังเป็นหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดี แต่อย่าไปซื้อตอนที่ พี/อี แพงแล้ว โดยแนะนำให้เลือกหุ้นที่มีพี/อี ประมาณ 1-1.5 เท่าของอัตราการเติบโตของกำไร ซึ่งในปัจจุบันเริ่มเห็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโต 10% ที่ระดับพี/อี ประมาณ 10-20 เท่าบ้างแล้ว จึงเป็นจังหวะที่น่าลงทุน” นักลงทุนสถาบันรายนี้ กล่าว