HoonSmart.com>> “เจริญโภคภัณฑ์อาหาร” เตรียมออกหุ้นกู้ 5 รุ่น อายุ 2 ปี – 12 ปี เสนอขายผู้ลงทุนทั่วไป สถาบันและหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ภายในเดือนม.ค.64 เรทติ้งหุ้นกู้ A+ จ่ายดอกเบี้ยตั้งแต่ 2.99-3.80% ต่อปี นำเงินชำระคืนหนี้ครบกำหนดและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รองรับขยายธุรกิจ ประเมินปี 64 ผลดำเนินงานดีต่อเนื่อง
นายไพศาล จิระกิจเจริญ ประธานผู้บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนออกและเสนอขายหุ้นกู้เพื่อชำระหนี้ที่ครบกำหนดในปี 2564 โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป รวมทั้งผู้ลงทุนสถาบันและหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยเสนอขายผู้ลงทุนทั่วไป 4 รุ่น คือ หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.99% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.15% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.60% ต่อปีและหุ้นกู้อายุ 12 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80% ต่อปี
สำหรับหุ้นกู้อายุ 2 ปีเป็นรุ่นที่จำหน่ายให้กับผู้ลงทุนสถาบัน และหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนของหุ้นกู้อายุ 2 ปีจะทำการแจ้งให้ทราบอีกครั้ง หุ้นกู้ทั้งหมดชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือน คาดว่าจะเสนอขายให้ผู้ลงทุนภายในเดือนม.ค.2564 โดยหุ้นกู้ฯ ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2563 ที่ A+ ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารและการมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทได้เป็นอย่างดี
สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจสามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณ 100,000 บาท ผ่านธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารออมสิน (เปิดจองซื้อเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่และที่สำนักงานใหญ่) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ธนาคารทหารไทย (TMB) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ผ่านธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP)
“บริษัทหวังว่าคนที่พลาดการลงทุนครั้งที่แล้วจะมีโอกาสเข้ามาจองซื้อในครั้งนี้ เงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้จะใช้คืนหนี้ที่ครบกำหนดและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรวมถึงเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต” นายไพศาล กล่าว
“ซีพีเอฟ” เป็นผู้ผลิตด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร (Feed-Farm-Food) ใน 17 ประเทศทั่วโลก โดยจำแนกประเภทธุรกิจหลักได้เป็น 3 ประเภท คือ 1.ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) 2.ธุรกิจผลผลิตจากการเลี้ยงสัตว์และแปรรูปเนื้อสัตว์ (Farm and Processing) และ 3.ธุรกิจอาหาร (Food) ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็น “ครัวของโลก” ซีพีเอฟจึงได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ที่ทันสมัย สนับสนุนการผลิตและการแปรรูปเนื้อสัตว์อย่างมีคุณภาพ ขยายการผลิตอาหารพร้อมรับประทานเพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ
รวมไปถึงการคิดค้นนวัตกรรมด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้มาซึ่งระบบการผลิตที่ปลอดภัย มีสินค้าที่สามารถตอบสนองความพึงพอใจและพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ และยังให้ความสำคัญในการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม และสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างเหมาะสมด้วยความใส่ใจในผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน
นอกจากนี้ “ซีพีเอฟ” มีความแข็งแกร่งทางด้านฐานะการเงิน โดยผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 439,745 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากราคาสุกรในภูมิภาคเอเชียปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะขาดแคลนสุกรเนื่องจากการระบาดของโรค ASF และมีกำไรสุทธิ 19,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14,445 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของซีพีเอฟในปี 2564 นั้น บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานยังคงดีอย่างต่อเนื่องจากปีนี้จากการลงทุนในธุรกิจสุกรในประเทศจีนและแคนาดาที่มีแนวโน้มเติบโต และประเทศเวียดนามที่มีการลงทุนในธุรกิจไก่ครบวงจรเพื่อส่งออกซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปีหน้า รวมทั้งการลงทุนด้านนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต อันจะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง จึงมั่นใจว่าผลการดำเนินงานจะยังดีต่อเนื่องและฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น
นอกจากนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 บริษัทฯ ยังสามารถบริหารจัดการธุรกิจท่ามกลางวิกฤตได้อย่างโดดเด่น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและก่อเกิดความสำเร็จที่สำคัญ พร้อมๆ ไปกับการช่วยเหลือสังคม ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนจากโครงการส่งอาหารจากใจร่วมต้านภัยโควิด-19 รวมถึงสามารถป้องกันโควิด-19 ในกลุ่มพนักงานของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้สายพานการผลิตของบริษัทฯ เดินต่อได้โดยไม่สะดุด ไม่ก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนอาหาร
ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟยังร่วมฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการขนาดย่อม หรือ SMEs รวม 6,000 ราย ผ่านโครงการ F.T.I. Faster Payment ด้วยการปรับลดระยะเวลาเครดิตเทอมลงเหลือไม่เกิน 30 วัน เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการรายย่อย และยังให้ความร่วมมือกับภาครัฐจ้างงานแรงงานจบใหม่เพิ่มอีกถึง 8,000 อัตรา เพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าอย่างไม่สะดุด ก้าวข้ามวิกฤติโควิด-19 ได้อย่างมั่นคง และเพื่อสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งต่อระบบเศรษฐกิจ