เทรนด์ลงทุนปี 64 “หุ้น” ดีที่สุด

HoonSmart.com>>ในปี 2563 โลกเผชิญวิกฤตการณ์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เงินเข้าไปหลบภัยในทองคำ จนให้ผลตอบแทนสูงที่สุดถึง 17.1%ในช่วง 11 เดือนแรก ขณะที่น้ำมันให้ผลตอบแทนแย่ที่สุด -25.7% ส่วนหุ้นไทยยังคง -10.9% แล้วในปี 2564 จะลงทุนอะไรดี… ทุกเสียงเทคะแนนให้ “หุ้น” บล.ฟินันเซียไซรัสชี้เป้าหมาย 1,600 จุด คาดเงินต่างประเทศยังไหลเข้ามาอีก 3-4 เดือน ซื้อหุ้นกลับหลังจากออกไปร่วม 6 แสนล้านบาท เชียร์ 7 หุ้นเด่น BEM, BDMS, KBANK, JWD, M, MTC, SYNEX

“จิตรา อมรธรรม” รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซียไซรัส เปิดเผยว่า ในปี 2564 มองว่าการลงทุนในหุ้นน่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดี คาดว่าสภาพคล่องในตลาดที่ล้นจากการอัดฉีดเม็ดเงินของธนาคารกลางหลักทั่วโลก และพัฒนาการของวัคซีนโควิด-19 หนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงหุ้นไทยที่ต่างชาติขายสุทธิ 3 ปี ล่าสุดรวมกันราว 6 แสนล้านบาท ทำให้มีโอกาสซื้อกลับ ซึ่งน่าจะใช้เวลาอีก 3-4 เดือน และแนวโน้มเงินบาทแข็งค่ายังดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติอีกด้วย

” ในระยะสั้นหุ้นที่มีมูลค่าถูก เช่น ธนาคารพาณิชย์ พลังงานและปิโตรเคมี และอสังหาริมทรัพย์ น่าจะปรับตัวดีกว่าหุ้นที่มีการเติบโตสูง  ส่วนเป้าหมายดัชนีหุ้นปีหน้า มองไว้ที่ 1,600 จุด คาดกำไรต่อหุ้นของตลาดฟื้นตัว +44% ขึ้นมาอยู่ที่ 77 บาท จากฐานที่ต่ำในปี 2563 และคาดว่าในปี 2565 จะโตต่อเนื่องอีก 13.9% โดยรวม 2 ปี เติบโตเฉลี่ยปีละ 28.2% ขณะที่มูลค่าจะได้รับแรงหนุนจากการเทิร์นอะราวด์ และกระแสเงินทุนที่ไหลเข้า”

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกหุ้นจาก 3 ธีม  ได้แก่ 1.เทคโนโลยี ซึ่งได้ประโยชน์โดยตรงจากโควิด-19 ที่ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง เช่น ADVANC 2.เศรษฐกิจปีหน้าโต 4% การบริโภคที่ฟื้นตัว และผลบวกจากความสำเร็จของวัคซีน คาดว่าชาวไทยจะได้รับในช่วงครึ่งปีหลัง และ3.กระแสรักสุขภาพ โดยเลือก Top Pick 7 หุ้นได้แก่ BEM, BDMS, KBANK, JWD, M, MTC และ SYNEX

ราคาสินทรัพย์เสี่ยงที่ดีขึ้น   เกิดจาก”วัคซีน”เป็นการเปลี่ยนเกมส์ของเงินทุนไหลเข้า หลังจาก Pfizer เปิดเผยประสิทธิภาพป้องกันได้เกือบ 95% เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2563 เป็นจุดเริ่มต้นให้กระแสเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง ราคาน้ำมันและหุ้น โดยเฉพาะตลาดยุโรปเดือนพ.ย.พุ่งขึ้นแรง สวนทางราคาทองคำ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเอเชีย ที่ไทยปรับขึ้นแรงที่สุด 17.9% หลังจาก 10 เดือนร่วงลงไปต่ำที่สุด โดยรวม 11 เดือนยังคงติดลบถึง -10.9% ส่วนราคาสินค้าเกษตรโดยรวมปรับตัวขึ้น ชอบถั่วเหลืองมากที่สุด หุ้นได้ประโยชน์คือ TVO และจำนวนนักท่องเที่ยวใช้เวลาอีก 3 ปีก่อนกลับไปเท่าปี 2562

มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ โดยเฉพาะ”ช้อปดีมีคืน” หนุน กลุ่มค้าปลีก BJC, CRC, HMPRO,MAKRO, COM7, SYNEX,CPW, SPVI และกลุ่มร้านอาหาร M,ZEN,OISHI) ส่วนมาตรการคนละครึ่งได้รับผลบวกจำกัดมอง OSP,CBG, ICHI,SAPPE, MAKRO

“ณพวีร์ พุกกะมาน” นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า การลงทุนในปี 2564 ยังมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดีในหลายสินทรัพย์ แต่หลายสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นมามากในปีนี้ ซึ่งหุ้นในกลุ่มธุรกิจดั้งเดิมในหลายบริษัท ที่ไม่ใช่หุ้นในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในขณะนี้ เช่น กลุ่มขนส่ง ธนาคาร ค้าปลีก สื่อสาร ที่จดทะเบียนในดัชนีดาวโจนส์ เริ่มสร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้บ้าง แม้ว่ายังไม่สูงนัก แต่มองว่าในปี 2564 บริษัทขนาดใหญ่ มีมูลค่าธุรกิจสูงเหล่านี้ น่าจับตามอง เพราะธุรกิจมีโอกาสฟื้นตัวได้ หากเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวจริง แต่อาจจะไม่ใช่ทุกกิจการที่จะกลับไปอยู่จุดเดิมก่อนเกิดวิกฤตได้

ขณะที่ตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจมากกว่าหุ้นสหรัฐ จากเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตที่โดดเด่น ส่วนสหรัฐยังต้องพึ่งพาการบริโภคจากทั่วโลก

สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากทองคำ ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีพอสมควรที่ระดับ 18% แม้ลดลงจากจุดสูงสุดที่ระดับ 30% แต่สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนแย่ที่สุด คือ น้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมัน WTI ติดลบลงถึง 23% จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

“ดนัย อรุณกิตติชัย” ผู้บริหารที่ปรึกษาการลงทุน และผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุนในปี 2564 ว่าการลงทุนในหุ้นจะทำได้ดี เพราะดอกเบี้ยต่ำ และรัฐบาลหลายประเทศยังต้องอัดฉีดเงิน ให้น้ำหนักหุ้นต่างประเทศมากกว่า จัดสรรเงินลงในสหรัฐ และจีนสัดส่วนตลาดละ 20% และหุ้นไทย 15% ต้องรอเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างเต็มที่อีกครั้ง

ส่วนหุ้นที่น่าใจเน้นธุรกิจ Cloud computing เพราะแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องอาศัยงานหลังบ้านสนับสนุน หุ้นกลุ่ม อีคอมเมิร์ซ และกลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ (Health Tech)

สถานการณ์ปัจจุบันยังคงต้องกระจายความเสี่ยง  Asset Allocation จากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ยังต่ำอีกอย่างน้อย 2 ปี หุ้นกู้เอกชนน่าสนใจมากกว่าพันธบัตรรัฐบาล จากโอกาสผิดนัดชำระหนี้ที่ลดลงค่อนข้างมาก

“จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์” Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นจีน A-Share ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นญี่ปุ่น ให้ผลตอบแทนสูงกว่าช่วงเกิดการระบาดของโควิด ธนาคารฯยังเชื่อมั่นในกลยุทธ์การลงทุนด้วยหลักการกระจายความเสี่ยงทั้งใน Core และ Satellite ซึ่งหลากหลายกองทุนที่ธนาคารฯ แนะนำสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น เช่น กองทุน K-GA กองทุน K-CCTV ที่เป็นการรวมหุ้นจีน A-shares กองทุน K-CHANGE ที่เป็นกองทุนรวมหุ้นที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก และ กองทุน K-HIT ที่รวมหุ้น 4 Mega trends เป็นต้น กลยุทธ์การลงทุนของธนาคารฯ ยังคงแนะนำให้ลูกค้าถือพอร์ต K-Alpha ต่อ ควบคู่กับพอร์ต Aspiration ที่เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternatives) และเน้นการลงทุนระยะยาว โดยในปี 2563 นี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 9%

แนวโน้มการลงทุนปี 2564 จับตาธุรกิจดั้งเดิมกลับมาฟื้นตัว หากวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 กระจายทั่วโลกได้เร็ว จีนยังเป็นประเทศที่น่าสนใจลงทุน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ยังเป็นปัจจัยสำคัญสร้างความผันผวนให้กับตลาดต่างประเทศ ด้านหุ้นไทยลุ้นดีดกลับไป 1,800 จุด หากธุรกิจใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวบนวิถี Next Normal ได้อย่างมีเสถียรภาพ ส่วนปีนี้ สินทรัพย์ที่อิงกับเทคโนโลยี ทั้งหุ้น ดัชนี หรือแม้แต่สกุลเงินดิจิทัล สร้างผลตอบแทนโดดเด่น