TPIPP มั่นใจกำไรปี 64 โต ติดตั้งหม้อต้มน้ำเสร็จ-ลุยประมูลโรงไฟฟ้าขยะ

HoonSmart.com>> “ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์” มั่นใจกำไรปี 64 โตกว่าปี 63 หลังติดตั้งหม้อต้มน้ำเพิ่มเติมเสร็จปลายปี 63 พร้อม COD ต้นปี 64  ยืนยันการซ่อมโรงปูนไม่ส่งผลกับกำไรมากนัก เตรียมประมูลโรงไฟฟ้าขยะในจังหวัดต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาล และเดินหน้าพัฒนาโครงการ “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ

ภัคพล เลี่ยวไพรัตน์

นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2564 จะดีกว่าปี 2563 เนื่องจาก บริษัทฯ สามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้สูงขึ้นหลังติดตั้งหม้อต้มน้ำเพิ่มเติมแล้วเสร็จในปี 2563 ส่วนผลประกอบการไตรมาส 4 / 2563 แม้ว่าโรงปูนทีพีไอโพลีนฯ ปิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกำไรมากนัก เนื่องจากรายได้และกำไรส่วนใหญ่มาจากการขายไฟให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

ไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้จากโรงไฟฟ้ารวม 2,877.7 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จาก กฟผ. 2,239.4 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 78% รายได้จาก บริษัท ทีพีไอโพลีน 629.8 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 22% และอื่น ๆ 8.5 ล้านบาท ไม่ถึง 1% และในไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทฯ บันทึกกำไรสุทธิจากโรงไฟฟ้า (ก่อนรวมอัตราแลกเปลี่ยน) อยู่ที่ 1221.5 ล้านบาท แบ่งเป็นกำไรจาก กฟผ.คิดเป็นประมาณ 95.5% กำไรจากบริษัท ทีพีไอโพลีนคิดเป็นประมาณ 4.5% และอื่น ๆ ไม่ถึง 1%

“ปี 2564 เราจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอีกเนื่องมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ตามที่บริษัทฯ ได้เคยสัญญามาตลอดในปีที่แล้ว ว่าการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตถือเป็นการเติบโตในระยะสั้นของพวกเรา ซึ่งปีหน้าจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ต้นปี นอกจากนี้การเติบโตในระยะกลาง หรือการเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะต่าง ๆ และการเติบโตในระยะยาว เรื่องโครงการ “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” หรือ Giga Project ก็มีความคืบหน้ามาตลอดตามลำดับ” นายภัคพล กล่าว

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2564-2566 ทางบริษัทฯ จะเข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะตามจังหวัดต่าง ๆ ตามนโยบายของภาครัฐ ในขณะนี้ทางบริษัทฯได้ติดตามความคืบหน้า 12 โครงการรวม 143 เมกกะวัตต์ โดยมี 2 โครงการที่มีความชัดเจนแล้วคือ โครงการในจังหวัดสงขลา (8 เมกกะวัตต์หรือมากกว่า) โครงการในจังหวัดโคราช (9.9 เมกกะวัตต์) โดยในทั้งสองโครงการคาดว่าจะได้ COD ในช่วงปี 2566 ในส่วนของโครงการในจังหวัดสระบุรี (40 เมกกะวัตต์) นั้น ทางบริษัทฯคาดว่าจะ COD ได้ช่วงต้นปี 2565 สำหรับ 9 โครงการที่เหลืออยู่ ยังต้องรอความชัดเจนจากทางภาครัฐ ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะได้ความชัดเจนภายในปี 2564 ทั้งหมด

“ปัจจุบันทางบริษัทฯมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับทาง กฟผ.อยู่ 3 สัญญา รวม 163 เมกกะวัตต์ และในปี 2565-2566 จะมีการ COD โรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะเพิ่มเติม ซึ่งโครงการทั้งหมดยังไม่ได้รวมการพัฒนาโครงการ ‘เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต’ ที่ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งได้มีมติ ครม. เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2563 อนุมัติให้ตั้งโรงไฟฟ้าขนาด 3,700 เมกกะวัตต์ขึ้น โดยเป็นโรงไฟฟ้า 1,700 เมกกะวัตต์จากก๊าซธรรมชาติ (LNG) และ 2,000 เมกกะวัตต์ จากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ในโครงการ ‘เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต’ ตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) เสนอตามนโยบายของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เพื่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งจะเริ่มทำรายได้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า” นายภัคพล กล่าว