HoonSmart.com>>ปี 2563 ต้นร้ายปลายดี สำหรับหุ้นที่เสนอขายให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) นอกจากบริษัทส่วนใหญ่ ราคาหุ้นจะเหนือจองในวันแรกแล้ว นักลงทุนที่ยังไม่ได้ขาย ถือลงทุนต่อไป รวมถึงคนที่เข้าไปซื้อเก็บในตลาด จนถึงวันที่ 4 ธ.ค.ได้รับผลตอบแทนสูงคุ้มค่าทีเดียว สำหรับนักลงทุนที่ไม่เคยเหลียวแล หุ้นที่เพิ่งเข้าตลาด ก็ยังไม่สายเกินไป ลองทำการบ้านดู ในเดือนธ.ค.นี้มีหุ้นจองคิวเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 4 บริษัท ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง…
ในปี 2563 เกิดวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้ประเทศไทยและหลายประเทศต้องประกาศล็อกดาวน์ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ดิ่งลงรุนแรงแตะระดับต่ำสุดที่ 1,024.46 จุด ในเดือนมี.ค. หลังจากนั้นตลาดเริ่มกระเตื้องขึ้น แต่ก็ยังคงเคลื่อนไหวบริเวณ 1,200-1,300 จุด บริษัทที่สนใจจะขาย IPO มองเห็นจังหวะในการระดมทุน แม้ว่าจะต้องยอมให้ส่วนลดแก่นักลงทุนสูงขึ้นก็ตาม
โดยรวมในปีนี้จนถึงวันที่ 4 ธ.ค. มีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 11 บริษัท มีเพียง 4 บริษัทที่ราคาหุ้นวันแรกต่ำกว่าจอง ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) -0.60% ,บริษัท สยามราชธานี (SO) -1.54% ,บริษัท เวล เกรด เอ็นจิเนียริ่ง (WGE) -13.91% และบริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง (RT) -6.25% ส่วน บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ปิดที่ 35 บาท เท่ากับราคาจอง
ส่วนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) มีหุ้นใหม่จำนวน 11 บริษัทเท่ากัน มีหุ้นต่ำจองในวันแรก 3 บริษัทคือ บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี (PRAPAT) -2.67%, บริษัท ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) หรือ SFT -3.68% และบริษัท สบาย เทคโนโลยี (SABUY) -25.20%
ในทางกลับกัน บริษัทบางแห่งก็ให้ผลกำไรสูงกว่า100% อาทิ บริษัทไมโครลิสซิ่ง (MICRO) +105.66% ส่วนใน mai ได้แก่ บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี (SICT) +200% บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป (IIG) +200%และบริษัท เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น (KK) +140.91%
อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ให้ผลตอบแทนติดลบหรือให้กำไรเพียงเล็กน้อยในวันแรก ไม่ได้หมายความว่ามีปัจจัยพื้นฐานไม่ดี แต่เป็นเพราะบรรยากาศการลงทุนไม่เอื้ออำนวย หรือนักลงทุนยังไม่เข้าใจธุรกิจดีพอ ในเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น จนถึงปัจจุบันหุ้นกลับให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น เช่น SO จากไอพีโอ 6.50 บาท กระโดดขึ้นมาปิดที่ 9.50 บาท +46.15% ไม่รวมเงินปันผลระหว่างกาลอีกหุ้นละ 0.16 บาท บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ (JR) จาก 5.50 บาท แจกกำไร 51.82% ปิดที่ 8.35 บาท และ บริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล (NCAP) ราคาปิดที่ 5.95 บาท แจกกำไร 170.45% เทียบกับไอพีโอที่ 2.20 บาท
” SO ยังโตอีกมาก ธุรกิจให้บริการจัดหาบุคลากร ธุรกิจให้เช่าและบริการยังเป็นที่ต้องการใช้อีกมากในโลกหลังโควิด ส่วน JR ขายเพียง 5.50 บาท เพราะตั้งราคาในช่วงดัชนีหุ้น 1,200 จุด ตอนนี้ตลาดขึ้นมาใกล้ 1,500 จุด และบริษัทยังมีอำนาจต่อรองสูงในธุรกิจ ให้บริการออกแบบ จัดหา ก่อสร้างและติดตั้งงานระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร จึงไม่แปลกที่หุ้นเป็นที่สนใจของนักลงทุนและราคาปรับตัวขึ้นมามาก”
นอกจากนี้ยังมีหุ้นอีก 4 บริษัทที่จองคิวเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ก่อนจบปี 2563 โดยวันนี้ (8 ธ.ค.) บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง ( SAK ) ได้ฤกษ์เข้าซื้อขายใน SET ราคาสูงกว่าจองที่ 3.70 บาทแน่นอน แต่จะไปไกลแค่ไหน เชื่อว่านักลงทุนให้ราคาดีมาก เพราะเคยเห็นหนังตัวอย่างจาก “รุ่นพี่” บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) และบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) ขณะที่ตลาดสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน มีขนาดใหญ่มากๆๆ แถมบริษัทตั้งเป้าโตเท่าตัวในอีก 3 ปีข้างหน้า คือ ในปี 2566 ขยายพอร์ตสินเชื่อเพิ่มเป็น 12,000 ล้านบาท จากที่มีอยู่จำนวน 6,067 ล้านบาทในปัจจุบัน
บริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (IND) เตรียมเข้า mai เสนอขาย 90 ล้านหุ้น ในราคา 1.10 บาท/หุ้น พาร์ 0.50 บาท เปิดจองซื้อหุ้นวันที่ 14-16 ธ.ค.นี้ คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ(P/E) 34.25 เท่า บริษัทมีมูลค่าหุ้นตามบัญชี 0.97 บาทต่อหุ้น ดำเนินธุรกิจด้านวิศวกรรมที่ปรึกษา ทั้งด้านงานสำรวจและศึกษาความเหมาะสมของโครงการ งานออกแบบเบื้องต้นและออกแบบรายละเอียด งานควบคุมการก่อสร้างและงานบริหารโครงการ และงานออกแบบพร้อมก่อสร้าง
บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) หรือ KEX คาดว่าจะเข้าซื้อขายใน SET 24 ธ.ค.นี้ ไม่ต้องพูดถึง หุ้นหมดเกลี้ยง 300 ล้านหุ้น กำหนดช่วงราคา 25-28 บาท เชื่อว่าสุดท้ายเคาะราคาขายสูงสุด 28 บาท หุ้นส่วนใหญ่ขายให้กับนักลงทุนสถาบัน ที่ปรึกษาทางการเงินแนะนำให้นักลงทุนหาโอกาสเข้าไปซื้อหุ้นในตลาด เพราะ KEX มีคุณสมบัติครบเครื่องตามที่นักลงทุนต้องการ เป็นผู้นำธุรกิจจัดส่งพัสดุในประเทศไทย กำไรโตทุกปี มีความสามารถในการแข่งขันสูง บริษัทหาพันธมิตรมาต่อยอดธุรกิจใหญ่ยิ่งขึ้น
ตัวสุดท้ายคือ บริษัท ไซมิส แอสเสท (SA) คาดว่าจะเข้าซื้อขายใน SET 25 ธ.ค.นี้ เสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 290 ล้านหุ้น จัดสรรหุ้นส่วนเกิน(กรีนชู) อีกไม่เกิน 30 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ และให้บริการบริหารงานนิติบุคคลให้กับโครงการต่างๆ ของบริษัท
คาดว่าหุ้นที่เตรียมจะเข้าซื้อขายในตลาด 4 บริษัทคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูง โดยเฉพาะบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” รวมถึงธุรกิจลิสซิ่ง “ศักดิ์สยามลิสซิ่ง” เห็นอนาคตการเติบโตสูง..