SCGP จ่อออกหุ้นกู้ 4 หมื่นล.พร้อมบุก แรงเชียร์ซื้อแน่น ราคานิวไฮ 43.50 บาท 

HoonSmart.com>>”เอสซีจี แพคเกจจิ้ง” เตรียมยื่นไฟลิ่งออกหุ้นกู้ วงเงินไม่เกิน 40,000 ล้านบาท อายุ 2 ปี เตรียมพร้อมลงทุนในอนาคต นักวิเคราะห์เพิ่งเริ่มแนะนำซื้อ หนุนราคาหุ้นนิวไฮ ปิดที่ 43.50 บาท  บล.โนมูระฯ-ยูโอบี เคย์เฮียนให้เป้าสูงสุด 50 บาท คาดกำไรโตสองหลักต่อเนื่อง

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2563 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเตรียมการยื่นขออนุญาตออกและเสนอขายหุ้นกู้แบบโครงการ อายุ 2 ปี (Medium Term Note: MTN) วงเงินรวมไม่เกิน 40,000 ล้านบาท ณ ขณะใดขณะหนึ่ง (revolving basis) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า

นักลงทุนยังคงแห่เข้าซื้อหุ้น SCGP  ส่งผลให้ราคาปรับตัวขึ้นและปิดที่ระดับสูงสุด 43.50 บาท บวก 1.25 บาทหรือ2.96% บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูง 1,508 ล้านบาท ถือเป็นราคาสูงสุดนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในราคา IPO ที่ 35 บาท

บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า เพิ่งเริ่มต้นแนะนำซื้อ SCGP ราคาเป้าหมาย 50 บาท ตามธีมเมกะเทรน เป็นผู้นำตลาดบรรจุภัณฑ์ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มีเงินทุนจำนวนมากสำหรับขยายกำลังการผลิตและเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม จะช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าและตลาดใหม่ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้ E-commerce และ Food delivery มากขึ้น โดยประเมินกำไรปกติปีนี้เติบโต +17% และคาดกำไรปี 2564-2565 เติบโตสูง 17% โตเด่นกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 11%

SCGP เป็นหุ้นนำกลุ่มที่มีความแข็งแกร่งในตลาดปัจจุบัน และยังมีการเติบโตสูง สามารถถือลงทุนได้ ปัจจุบันซื้อขายบน P/E ที่ 22.1 เท่า

บล.บัวหลวง เริ่มได้ให้คำแนะนำซื้อ SCGP ด้วยราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี2564 ที่ 48 บาท มูลค่าในปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ด้วย P/E ปีหน้าที่ 21.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 25 เท่าอยู่ 15% และยังมีโอกาสอัพไซต์ต่อประมาณการกำไรจากการลงทุนใหม่ จากที่คาดว่าปีนี้กำไรหลักขยายตัว 30.5% อยู่ที่ 6,700 ล้านบาท และปีหน้าโตอีก 17.2% มาอยู่ที่ 7,900 ล้านบาท

“SCGP ดำเนินธุรกิจในภูมิภาคที่เติบโตรวดเร็ว และสอดรับกับทุกกระแสการเปลี่ยนแปลงใหม่ บริษัทมีการควบรวมกิจการแนวดิ่งรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับตั้งแต่ปี 2553 จนถึงเดือนมี.ค. 2563 มีการเข้าซื้อกิจการทั้งสิ้น 18 ดีล ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งเน้นการขยายตลาดและการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว” บล.บัวหลวงระบุ