กรุงศรีคาดเงินแข็งแตะ 29.25 บาทสิ้นปี 64 เงินไหลเข้าผลตอบแทนสูงกว่าสหรัฐ

HoonSmart.com>>ธนาคารกรุงศรีอยุธยาคาดเงินบาทแข็งต่อเนื่องในปี 2564 คาดธปท.ใช้ดอกเบี้ยต่ำ 0.50% ตลอดปี เงินไหลเข้ามาลงทุนหาผลตอบแทนที่สูงกว่าสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐ แนะผู้ส่งออก-นำเข้าใช้เงินท้องถิ่นแทนลดความผันผวน เผยลูกค้า SME ประมาณ 70% ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น  ด้านบล.โนมูระพัฒนสิน จับตาต่างชาติขายหุ้นเฉียด 1,000 ล้านบาทระยะสั้น หลังจากยังลดน้ำหนักไม่ถึงเป้า  MSCI Rebalance 

นายตรรก บุนนาค ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวในหัวข้อ “2021 ตลาดเงินปีฉลูจะเลิศหรูหรือราบเรียบ”ว่า ธนาคารกรุงศรีคาดเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส1/2564 อยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ และไตรมาส 4 อยู่ที่ 29.25 บาท เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช่วยลดความผันผวน จึงแนะนำให้ผู้ส่งออกและนำเข้าใช้เงินท้องถิ่นในการค้าขายแทน ซึ่งเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินบาท ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนน้อยลง

ขณะเดียวกันเริ่มเห็นลูกค้าของธนาคารใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น เช่น SME ได้ซื้อออปชั่นประมาณ 70% จากก่อนหน้านี้ใช้เครื่องมือต่ำกว่า 50% ส่วนลูกค้าที่เป็นญี่ปุ่นป้องกันความเสี่ยงทั้ง 100%

“เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า แต่คงไม่มากเหมือนก่อนหน้านี้ที่ 7-8% คาดว่าในปีหน้า หากเทียบกับค่าเงินริงกิตของมาเลเซีย เงินรูเปียห์ของอินโดนีเซีย และเงินเยนของญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ขณะที่มีต้นทุนในการกู้ยืมเงินและค่าธรรมเนียมในการป้องกันความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำ” นายตรรกกล่าว

สำหรับเงินบาทในปี 2563 ผันผวนสูงมาก จากไตรมาสแรกอ่อนค่ามากเป็นอันดับสอง ประมาณ 8.63%  แต่ในไตรมาส 4 กลับแข็งค่ามากถึง 4.12% เป็นรองเพียงค่าเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซีย ที่อ่อนค่าถึง 14.98% ก่อนพลิกมาแข็งค่า 4.91% สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินบาทอ่อนช่วงต้นปี เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนธนาคารสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยลงใกล้ 0% และดำเนินมาตรการคิวอีแบบไม่จำกัด ทำให้มีเงินไหลออกจากทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไทย จนธปท.ต้องมีการประชุมฉุกเฉินลดดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.เหลือ 0.50% ซึ่งคาดว่าดอกเบี้ยจะคงอยู่ระดับนี้ต่อไปในปีหน้า

ส่วนเงินบาทแข็งค่าเร็วในไตรมาสที่ 4 มาจากเงินทุนไหลเข้าในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไทย โดยเฉพาะในเดือนพ.ย. หลังจากโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีและการทดลองวัคซีนได้ผลน่าพอใจ คาดว่ายังคงเข้ามาต่อเนื่อง เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนของไทยและในภูมิภาคดีกว่าอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตามเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวน พร้อมที่จะออกไปหากมีความเสี่ยงเรื่องขาดทุน แตกต่างจากการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ที่ผลตอบแทนของพันธบัตรและหุ้นกู้ของไทยให้ผลตอบแทนมากกว่า 1% สูงกว่าสหรัฐที่ไม่ถึง 0.50%  นอกจากนี้บริษัทที่มีพื้นฐานดีของไทยเริ่มออกหุ้นกู้ชุดใหม่มารีไฟแนนซ์ชุดที่ครบอายุ รวมถึงการออกชุดใหม่เพื่อนำเงินมาขยายการลงทุน ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดี แต่ยังคงต้องระมัดระวังการลงทุน

” โดยรวม 11 เดือนแรกของปีนี้ เงินบาทยังคงอ่อนค่า 1% ต่างชาติขายหุ้นสุทธิ 2.6 แสนล้านบาท ตราสารหนี้ 4.8 หมื่นล้านบาท รวมประมาณ 3.1 แสนล้านบาท คาดปีหน้าเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ต่อเนื่อง จากดอลลาร์อ่อน และพื้นฐานที่แข็งแกร่ง บัญชีเดินสะพัดของไทยเกินดุล ประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคสะสมสำรองเพิ่มขึ้น ส่วนสหรัฐขาดดุลแฝดทั้งงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดอีกนานหลายปี คาดใช้ดอกเบี้ยต่ำใกล้ 0% อีก 1-2 ปี ขณะที่จีนแข็งแรงมาก ค่าเงินหยวนแข็งมากที่สุดเกือบ 6% และเศรษฐกิจเติบโตสูง ทำให้ไทยปรับโครงสร้างอัตราแลกเปลี่ยนมีเถียรภาพ” นายตรรก กล่าว

ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญแรงขายอีกราว 30 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 900 ล้านบาท หลังจากเมื่อวันที่ 30 พ.ย.เงินไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชียในทุกประเทศ รวม -3,790 ล้านเหรียญ เป็นผลมาจาก MSCI Rebalance เช่นเดียวกันกับไทยที่ต่างชาติขายสุทธิรวม -144 ล้านเหรียญ แต่ยังไม่ครบ  ดังนั้น ต้องจับตาดูต่อว่าหลังผ่านพ้น MSCI Rebalance ไปแล้วนั้น ทิศทางเงินจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ

“ตลาดมีจิตวิทยาบวกจากประเด็นวัคซีน แต่สิ่งที่ต้องจับตาคือกระแสเงินทุนไหลเข้าหลังผ่านพ้น MSCI Rebalance คงน้ำหนักหุ้นไทย 35% เพื่อระยะยาว “บล.โนมูระ พัมนสินระบุ

สำหรับการลงทุนคงคำแนะนำ Bullish กลุ่มพลังงาน คง PTT, PTTEP เป็น top pick  มุมมองแนวโน้มกลุ่มฟื้นต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของการบริโภคปิโตรเลียมและปิโตรเคมีทั่วโลก (อ้างอิงข้อมูล U.S. EIA พ.ค 20 – ต.ค. 20) หนุนภาพการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ, ส่วนต่างราคาปิโตรเลียม/ปิโตรเคมี และกำไรปกติกลุ่ม อย่างไรก็ตามจากราคาหุ้นในกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นเร็วจนใกล้เต็มมูลค่าเป้าหมายปี 2564  ในขณะที่ยังไม่เห็น upside ของ spread ผลิตภัณฑ์ในปีหน้า ยังคงแนะนำลงทุนในกลุ่มต้นน้ำที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวเร็วสุด

บล.กสิกรไทยคาดตลาดหุ้นเดือนธ.ค. ดัชนีจะเปลี่ยนจากการปรับตัวขึ้นเป็นแกว่งออกข้าง ลักษณะคล้ายเสาธงชาติ กรอบ 1,370-1,445จุด โดย 3 ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาด 1. สถานการณ์โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ 2.การประชุมธนาคารกลางสหรัฐใน 3) การเริ่ม ฉีดวัคซีนจริงของ Pfizer

ตลาดหุ้นวันที่ 1 ธ.ค. พลิกกลับขึ้นอย่างรุนแรง ดัชนีวิ่งไปสูงสุด1,430 จุด ก่อนปิดที่ 1,420.87  จุด เพิ่มขึ้น 12.56 จุด หรือ 0.89% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น  78,415.99 ล้านบาท ตามแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน และธนาคาร