ดอลล์แข็งทุบทอง-หุ้น-น้ำมัน แนะเก็บบริษัทได้ดีบาทอ่อน

ผู้ว่า ธปท.ยอมรับเข้าแทรกแซงเงินบาท เพื่อไม่ให้อ่อนเร็วเกินไป นักลงทุนผวาสงครามการค้าวิ่งเข้าหาดอลลาร์สหรัฐ กดดันหุ้นต่างประเทศ น้ำมันและทองร่วง ต่างชาติยังขายหุ้นไทย-ตราสารหนี้ ซื้ออนุพันธ์ 2,142 สัญญา ซีแอลเอสเอ แนะก.ค.ซื้อหุ้นเก็บ รอดัชนีวิ่งถึง 1,850 – 1,950 จุด หากรัฐบาลกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมายอมรับว่าธปท.ได้เข้าไปดูแลอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากเห็นว่าค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป อาจจะมีผลกระทบต่อตลาดและภาคธุรกิจ จึงเข้าไปดูแลบางช่วงบ้าง

“ทุนสำรองฯที่ลดลง เป็นสิ่งที่เราคาดหวัง เพราะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเราได้สะสมทุนสำรองไว้ แต่เวลาที่นโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลักปรับทิศกลับมาขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็อาจจะมีเงินไหลออกจากประเทศเกิดใหม่ วันนี้เราจึงนำเงินที่เราสะสมไว้มาเป็นกันชน มาลดแรงปะทะ เพื่อไม่ให้เกิดแรงปะทะกับระบบเศรษฐกิจไทย ไม่ให้ปะทะกับภาคธุรกิจไทย”นายวิรไทกล่าว

ส่วนผลกระทบสงครามการค้ามีความตึงเครียดมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ธปท.ต้องติดตามต่อเนื่องอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อหลายประเทศ ไม่เฉพาะไทยเท่านั้น รวมถึงภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นเศรษฐกิจเปิดและพึ่งพิงการค้าต่างประเทศ

ขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ร่วงหนักกว่า 200 จุด (ปิดตลาดวันที่ 11 กรกฎาคม) ขณะที่ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า ทรุดลง 5% รวมถึงสัญญาซื้อขายทองคำด้วย ลดลง 13.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งมาก และส่งผลให้เงินบาทอ่อนตัวลงในรอบ 9 เดือนที่ 33.36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างวัน ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงแรงส่งผลต่อราคาหุ้นพลังงานและปิโตรเคมีปรับตัวลงด้วย

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)แนะนำการลงทุนระยะสั้น เน้นหุ้นส่งออกเพราะได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อน และควรเล่นนั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก คาดว่าดัชนีหุ้นจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1580-1660 จุด
ส่วนนักลงทุนระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทน และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมายเพื่อล็อคกำไร

ทางด้าน นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสจะวิ่งขึ้นไปถึง 1,850 – 1,950 จุด หากรัฐบาลกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน เพราะการเลือกตั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน

“เดือน ก.ค. จึงเป็นช่วงที่ควรจะซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีไว้ได้แล้ว ซึ่งนักลงทุนสถาบันเริ่มซื้อเก็บมาตั้งแต่เดือน มิ.ย. เพราะสงครามการค้าเป็นแค่เกมการเมือง เชื่อว่าในที่สุดจะมีการเจรจากันได้ ขณะที่สหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยแสดงว่าเศรษฐกิจดีขึ้นจริงหุ้นก็จะขึ้นตามไปด้วย” นายปริญญ์ กล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่แนะนำ คือ ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ โรงพยาบาล และนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) หรือ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) บริษัท ศุภาลัย (SPALI), บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) และ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI)บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) และบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA)