ASP แนะซื้อหุ้นแบงก์ใหญ่-กลุ่มรับเหมา รับอานิสงค์รัฐเข็นประมูลงานโครงสร้างพื้นฐาน 24 โครงการ 8.2 แสนล้านบาท เผยสงครามค่าฟีกระทบกำไรแบงก์ระยะสั้น มองหุ้นไตรมาส 2 ผันผวน จากปัจจัยสงครามกีดกันการค้า และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น คาดทั้งปีดัชนีฯ 1,798-1,854 จุด
นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASP) เปิดเผยมุมมองตลาดหุ้นไทย ไตรมาส 2 ปีนี้ ว่า ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนสูงและดัชนีฯเคลื่อนไหวในกรอบ 1,787-1,839 จุด โดยปัจจัยหลักที่กดดันตลาดหุ้นจะมาจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐและมาตรการโต้กลับของจีน ตลอดจนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐ ซึ่งคาดว่าภายในปี 2563 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 7-8 ครั้ง เข้าสู่ระดับ 3.5%
สำหรับกระแส Fund Flow ในช่วงไตรมาส 2 จะยังคงมีแรงขายต่อเนื่อง แต่จะเริ่มชะลอตัวลง หลังจากต่างชาติขายหุ้นไทยออกมาติดต่อกัน โดยล่าสุดนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นไทยในสัดส่วน 30% เท่านั้น ขณะที่การจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียนกว่า 200 แห่งในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค.2561 จะทำให้ดัชนีฯปรับตัวลดลง 25 จุด
นางภรณี ระบุว่า ปีนี้คาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะอยู่ที่ 1.12 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 112.39 บาทต่อหุ้น และเมื่อประเมินจากค่าพี/อี ตลาดที่ 16-16.5 เท่า คาดว่าดัชนีฯปีนี้จะอยู่ที่ 1,798-1,854 จุด
“ตลาดหุ้นไทยปีนี้ มีโอกาสปรับตัวขึ้นอย่างจำกัด จึงแนะนำให้เลือกซื้อหุ้นรายตัว”นางภรณีกล่าว
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า หากการเลือกตั้งยังคงเกิดขึ้นในเดือนก.พ.2562 จะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวไปในทิศทางที่ดี แต่หากเลื่อนออกไปจะมีผลทางจิตวิทยาต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหากร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ไม่สามารถประกาศในราชกิจการนุเบกษาได้ทันเดือนมิ.ย.2561 จะทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไปแน่นอน ซึ่งล่าสุดรัฐบาลอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะส่งร่างพ.ร.ป.ฉบับนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่
นายเทิดศักดิ์ กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งการให้ไปทบทวนข้อเสนอการใช้อำนาจตาม ม.44 ช่วยเหลือผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือ 2 รายที่ได้รับใบอนุญาตใช้คลื่น 900 MHz โดยให้แบ่งจ่ายค่าใบอนุญาตงวดที่ 4 รายละ 6 หมื่นล้านบาท รวมเป็นเงิน 1.2 แสนล้านบาท เป็น 5 ปี จากเดิมที่ให้จ่ายในปี 2563 ว่า คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะรู้ผล และจะมีผลต่อราคาหุ้นกลุ่มสื่อสาร
ทั้งนี้ หากหัวหน้าคสช.ใช้อำนาจม.44 ดำเนินการดังกล่าว จะลดต้นทุนดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการได้มาก เพราะไม่ต้องกู้เงินก้อนใหญ่มาจ่ายค่าอนุญาตทีเดียว ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยตามในอัตราตลาดหรือ 6-7% แต่หากแบ่งจ่าย 5 ปี ทางผู้ประกอบการแต่ละรายจะใช้เงินปีละไม่เกิน 1.3 หมื่นล้านบาท ในขณะที่เงินที่ยังค้างจ่ายค่าใบอนุญาตส่วนที่เหลือจะเสียดอกเบี้ยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือเพียง 1.5% เท่านั้น
นายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ปีนี้คาดว่าจะมีการเปิดประมูลโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ 24 โครงการ วงเงิน 8.2 แสนล้านบาท จากแผนลงทุนทั้งหมด 44 โครงการ มูลค่า 2.02 ล้านล้านบาท ซึ่งจะทำให้หุ้นกลุ่มรับเหมาได้รับประโยชน์จากการเปิดประมูล โดยเฉพาะผู้รับเหมารายใหญ่ เช่น ช.การช่าง (CK) อิตาเลียนไทย (ITD) และยูนิค เอ็นจีเนียริ่ง (UNIQ) รวมถึงบริษัทรับเหมาช่วง เช่น เนาวรัตน์พัฒนาการ (NWR)
“สาเหตุที่การเปิดประมูลโครงการลงทุนรัฐปีที่แล้วล่าช้า และเปิดประมูลงานไปเพียง 1.1 แสนล้านบาทนั้น เป็นผลจาก พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฉบับใหม่ที่เริ่มใช้เมี่อวันที่ 23 ส.ค.2560 ซึ่งมีขั้นตอนการประมูลที่รัดกุมขึ้น และมีบทลงโทษทั้งจำคุกและปรับ ทำให้ภาครัฐและเอกชนแหยง แต่ตอนนี้ผ่านมา 7 เดือนแล้ว ทุกฝ่ายน่าจะปรับตัวกันได้แล้ว ขณะที่รัฐบาลเองน่าจะเร่งเปิดประมูลโครงการลงทุนต่างๆ เพื่อให้รัฐบาลมีผลงานในช่วง 1 ปีสุดท้ายก่อนมีการเลือกตั้ง”นายประสิทธิ์กล่าว
นางสาวอุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ปีนี้จะเติบโต 6% จากปีที่แล้วที่เติบโต 5% และกำไรสุทธิของธนาคารจะเติบโต 14% โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ที่จะได้รับอานิสงค์จากการปล่อยกู้ให้ผู้รับเหมาที่ได้งานลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ เช่นเดียวกับบริษัท ทุนธนชาติ (TCAP) ที่กำไรยังเติบโตได้ดีจากการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่เติบโตต่อเนื่อง
ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมต่างๆของธนาคารปีนี คาดว่าจะยังเติบโตที่ 7% แม้ว่าขณะนี้ได้มีธนาคารบางแห่งออกแคมเปญฟรีค่าธรรมเนียมการให้บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ออกมาแล้ว
“การที่แบงก์บางแห่งออกแคมเปญฟรีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่างๆผ่านอินเตอร์เน็ต เป็นกลยุทธ์ที่ดึงลูกค้าเข้ามาใช้บริการของแบงก์มากกว่า เพื่อที่ต่อไปแบงก์จะได้เสนอบริการอื่นให้กับลูกค้ากลุ่มนี้ อีกทั้งหากลูกค้ามาใช้บริการของแบงก์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ต่อไปแบงก์ก็สามารถลดต้นทุนลงได้ด้วยการปิดสาขาและลดคน จึงเชื่อว่าการลดค่าฟีต่างๆจะกระทบกำไรของแบงก์ในระยะสั้น”นางสาวอุษณีย์กล่าว
นางสาวนลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า คาดว่าปีนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะอยู่ที่เฉลี่ย 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากปีที่แล้วที่อยู่ที่เฉลี่ย 64 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทั้งนี้ แม้ว่าสหรัฐจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบต่อเนื่องจนทำให้มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 11 ล้านบาร์เรลต่อวันในขณะนี้ แต่การลดเพดานการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปคและความไม่สงบในประเทศแถบตะวันออกกลางบางประเทศ จะทำให้ซัพพลายสมดุลกับดีมานด์
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวใกล้เคียงกับปีที่แล้ว จะส่งผลดีต่อกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี ที่มีปริมาณการผลิตและจำหน่ายเพิ่มขึ้น เช่น บริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) โดยเฉพาะ IRPC ที่จะมีกำไรปกติเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 60% เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมโรงกลั่น และมีการขยายกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 2.17 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปีที่แล้วที่มีกำลังการกลั่น 1.8 แสนบาร์เรลต่อวัน