STARK มาตามนัด กำไรโตแรง 462 ล้านบาท พุ่ง 670%

HoonSmart.com>>STARK มาตามนัด  อวดไตรมาส 3  โตแรงต่อเนื่อง 462 ล้านบาท พุ่ง 670% จากช่วงเดียวกันที่ขาดทุน 81 ล้านบาท “ชนินทร์ เย็นสุดใจ” ประธานบอร์ด ชี้ผลจากการซื้อกิจการสายไฟฟ้าเวียดนาม ความต้องการสินค้าเติบโตตามโครงสร้างพื้นฐานทั้งของภาครัฐและเอกชน พร้อมแก้ฟรีโฟลท เบ็ดเสร็จ 20.84% 

นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 บริษัท ฯ มีกำไรสุทธิ 462 ล้านบาท เติบโต 543 ล้านบาท หรือ 670.3% เทียบช่วงเดียวกันปี 2562 ซึ่งขาดทุนสุทธิ 81 ล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 2/2563 ที่มีกำไรสุทธิ 440.49 ล้านบาท

สำหรับงวด 9 เดือน มีกำไรรวม 1,164 ล้านบาท เติบโต 1,112 ล้านบาท หรือ 2,138 % เทียบช่วงเดียวกันที่มีกำไร 62 ล้านบาท

นายชนินทร์ กล่าวว่า ไตรมาส 3/63 บริษัทฯ มีรายได้หลัก จำนวน 4,655 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือน จำนวน  11,917 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการรับรู้ผลการดำเนินงานของกิจการสายไฟฟ้าเวียดนาม และโครงการภาครัฐ – เอกชนในประเทศไทย และเวียดนาม ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการนาสายไฟฟ้าลงใต้ดิน การอัพเกรดขนาดสายไฟเพื่อรองรับการเติบโตของชุมชน และพัฒนาระบบสายส่งไฟฟ้า

บริษัท ฯ มุ่งเน้นกลุ่มสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง (High margin product) โดยเฉพาะกลุ่มสายไฟแรงดันระดับกลางจนถึงระดับสูงพิเศษ (Medium – Extra High Voltage) ที่มีการเติบโตสูงเพื่อรองรับโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐและเอกชน ส่งผลให้ธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลในประเทศไทย จากเฟ้ลปส์ ดอด์จ (PDITL) ในไตรมาส 3 นี้ มีการเติบโต 2.6 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ประธานกรรมการ กล่าวอีกว่า ผลดีจากการซื้อกิจการสายไฟฟ้าเวียดนาม  ถือเป็นวัคซีนทำให้ สตาร์ค ฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่อย่างใด ซึ่งหลังจากซื้อกิจการแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมาดีทั้งเรื่องอำนาจการต่อรอง เช่น การซื้อวัตถุดิบ ทำให้มีต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลง การชำระเงินที่ยาวขึ้น รวมทั้งกระบวนการผลิตที่ต่ำลงด้วย เนื่องจากเวียดนามมีต้นทุนแรงงาน และพลังงานที่ต่ำกว่าไทย

“ผลการดำเนินงานของ สตาร์ค ฯ เริ่มรับรู้จากการซื้อธุรกิจสายไฟฟ้าในเวียดนาม ในเชิงปริมาณและต้นทุน อำนาจต่อรองการซื้อวัตถุดิบ รวมไปถึงช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าที่เข้าถึงมากขึ้น ฉะนั้น แนวโน้มไตรมาส 4 และปีต่อ ๆ ไป ผลลัพธ์ของการซื้อกิจการ จะส่งผลต่อยอดขายและรายได้ที่เติบโตขึ้นทุก ๆ ปี  ตามโครงสร้างพื้นฐานของลูกค้าภาครัฐและเอกชน  ทั้งสายพลังงาน ไฟฟ้า และเทคโนโลยี “ ประธานกรรมการกล่าว

ทั้งนี้ ณ งบไตรมาส 3/2563 บริษัท สตาร์คฯ มี Ebitda Margin เฉพาะจากการดำเนินงาน ไม่นับรายการพิเศษ เพิ่มขึ้นเป็น 17.3% เพิ่มขึ้นจาก 10.6% ในช่วงเดียวกันปีก่อน จากการเน้นกลุ่มสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง และนโยบายควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการบริหารจัดการร่วมกันของกลุ่มบริษัทอย่างมีระบบ ภายหลังการซื้อกิจการเวียดนาม

นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า บริษัท ฯ มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง อัตราหนี้สินต่อทุน ลดลงต่ำกว่า 1 เท่า โดยอยู่ที่ 0.9 เท่าในไตรมาส 3 นี้ และคาดว่าจะลดลงต่อเนื่อง จากการคืนเงินกู้ และการเจรจาขอลดดอกเบี้ยลงประมาณ 1-1.5%  จากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย หักด้วยเงินสด ในปัจจุบัน เท่ากับ 1.2 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ STARK ได้แก้ไขการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด โดยกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นหลัก (Strategic Shareholders)  ให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่น และบุคคลอื่น ส่งผลให้ฟรีโฟลท์ เพิ่มขึ้นเป็น 20.84%  ณ วันที่ 4 พ.ย. 2563 มีผู้ถือหุ้นรายย่อย จำนวน 7,281 ราย  ถือหุ้นรวมกัน  4,962,952,126 หุ้น

ด้านราคาหุ้น STARK พุ่งขึ้นปิด 1.91 บาท เพิ่มขึ้น 0.14 บาท หรือ 7.91% มูลค่าซื้อขาย 625.66 ล้านบาท