บลจ.กรุงศรี เผยครึ่งปีแรกเงินไหลเข้า LTF-RMF หุ้น 6.8 พันล.

บลจ.กรุงศรี เผยครึ่งปีนักลงทุนเข้าซื้อกองทุน LTF-RMF ลงทุนหุ้น กว่า 6.8 พันล้าน มองตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เป็นจังหวะในการลงทุน เชื่อมั่นพื้นฐานยังน่าสนใจ มองเป้าหมาย ดัชนี 12 เดือนข้าง แตะ 1,800-1,850 จุด

นางสุภาพร ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกผู้ลงทุนได้ทยอยลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนสุทธิในกองทุนหุ้น กองทุน LTF และกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น ภายใต้การบริหารจัดของบลจ.กรุงศรี มูลค่ารวมกว่า 6,800 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังคงเล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดหุ้นไทย ข้อมูล บลจ.กรุงศรี ณ วันที่ 29 มิ.ย. 61

“การลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงบนพื้นฐานของความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตถือเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยเข้าลงทุน โดยเฉพาะการทยอยลงทุนในกองทุน LTF และกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี”นางสุภาพร กล่าว

อย่างไรก็ตามบริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนตราสารทุนในระยะกลางถึงยาว แม้ว่าในระยะสั้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจมีความผันผวนและมีแนวโน้มเคลื่อนไหวตามกระแสเงินลงทุนต่างชาติและปัจจัยภายนอกประเทศ ได้แก่ สถานการณ์สงครามการค้าที่มีพัฒนาการไปในทางลบมากขึ้น โดยหลายประเทศเริ่มออกมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ และประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงมีท่าทีที่แข็งกร้าว การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางฯ ประเทศต่างๆ และทิศทางการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้นเร็วและมากกว่าที่ตลาดฯ ประเมิน รวมถึงกระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติที่ไหลออกจากตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่ (emerging markets) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนไปยังค่าเงินในภูมิภาคที่ปรับตัวอ่อนค่าลง

อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางถึงยาวการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ที่ยังคงแข็งแกร่ง ตัวเลขการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน มิ.ย. 61 อยู่ที่ 81.3 ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2556 อีกทั้ง การใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาทั้งในส่วนของรายจ่ายประจำและรายจ่ายเพื่อการลงทุน

นอกจากนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ยังเป็นที่น่าสนใจลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีค่า P/E ปี 2561 อยู่ที่ 14.5 เท่า ขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ อยู่ที่ 14.8 เท่า และ 16.5 เท่า ตามลำดับ ด้านอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของไทยอยู่ที่ 3.4% ซึ่งสูงกว่าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เช่นกัน ทั้งนื้ คาดการณ์ว่า SET Index มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 1,800 – 1,850 จุดในอีก 12 เดือนข้างหน้า ข้อมูลจาก บลจ.กรุงศรี ณ วันที่ 29 มิ.ย. 61