NCAP มั่นใจเทรดวันแรก 9 พ.ย.เหนือจอง ชูผลงานเด่น

HoonSmart.com>> “เน็คซ์ แคปปิตอล” หุ้นเช่าซื้อมอเตอร์ไซค์น้องใหม่ มั่นใจเข้าเทรด SET วันแรก 9 พ.ย.นี้ ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน หนุนราคาเหนือจอง มั่นใจราคา IPO 2.20 บาท เหมาะสมปัจจัยพื้นฐานแกร่ง ตอบโจทย์นักลงทุนมองหาหุ้นเติบโตสูง มีความสามารถในการทำกำไรที่ดี ระดมทุนหนุนเติบโตก้าวกระโดด ตอกย้ำหุ้น Growth Stock สุดแกร่ง ด้านโบรกฯ ให้เป้า 2.70–2.84 บาท

สมชัย ลิมป์พัฒนสิน

นายสมชัย ลิมป์พัฒนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล (NCAP) หนึ่งในผู้นำธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มั่นใจว่าการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรก จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน และพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง ด้วยความพร้อมทางด้านบุคลากร และระบบการทำงาน เพื่อขยายสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ทุกแบรนด์ชั้นนำ ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค ณ 30 มิ.ย.2563 บริษัทฯ มี 24 สาขา และมีตัวแทนจำหน่ายเป็นพันธมิตรราว 600 ราย ปัจจุบัน อยู่ระหว่างขยายฐานลูกค้าทั้งรายเก่าและรายใหม่เพิ่มขึ้น

นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมถึง NCAP คาดจะเป็นหุ้นไอพีโอที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ด้วยจุดเด่น บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดเติบโตต่อเนื่อง และเป็นผู้นำในเขตจังหวัดภาคใต้ โดยพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อเติบโตภายใต้นโยบายการขยายสินเชื่อที่รัดกุม ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 24.7% ต่อปี โดยพอร์ตสินเชื่อ ณ 30 มิถุนายน 2563 อยู่ที่ประมาณ 3,500 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 บริษัทฯ มีอัตราส่วน NPL เท่ากับ 2.26% ต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของบริษัทจดทะเบียนอื่นในตลาดหลักทรัพย์ฯ

สำหรับผู้ถือหุ้นใหญ่ของ NCAP ได้แก่ COM7 และ SYNEX เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สนับสนุนแผนการขยายธุรกิจ และเพิ่มความน่าสนใจให้ NCAP โดดเด่นยิ่งขึ้น ด้วยโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่ง สำหรับ แนวโน้มความต้องการใช้รถจักรยานยนต์จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อความต้องการใช้รถจักรยานยนต์ที่เพิ่มขึ้น เพื่อการใช้ขนส่ง ธุรกิจขายของ online และธุรกิจให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี (Food Delivery) และเป็นโอกาสให้ NCAP ขยายพอร์ตต่อเนื่องในอนาคต

อีกทั้ง การนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการทำงาน โดยแผนการพัฒนาระบบเครดิตสกอริ่งของบริษัทแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย และอยู่ระหว่างเทสระบบ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อ ด้วยข้อมูลที่แม่นยำ รวมถึง การวิเคราะห์ข้อมูลในการให้บริการลูกค้า และติดตามสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลักดันให้สามารถเติบโตก้าวกระโดดได้ในปีหน้า ตอกย้ำการเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่มีความโดดเด่นในตลาด โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560 – 2562) บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) สูงราว 24.7% ต่อปี และมีกำไรสุทธิในงวดครึ่งปีแรกเติบโต 30% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สะท้อนความสำเร็จจากการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการ และการขยายพอร์ตสินเชื่อของบริษัทฯในช่วงที่ผ่านมารวมถึงในอนาคต อีกทั้ง บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40%

นางสาวพันทิตา แซ่เอ็ง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (NCAP) เปิดเผยถึง ความเชื่อมั่นหุ้น NCAP ในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรก ในวันที่ 9 พ.ย.2563 นักลงทุนจะให้ความสนใจและการตอบรับเป็นอย่างดี การกำหนดราคาไอพีโอที่หุ้นละ 2.20 บาท คิดเป็น P/E (Pre-Dilution) ประมาณ 9.3 เท่า เป็นราคาที่เหมาะสมกับศักยภาพในการเติบโต จากฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น พร้อมขยายพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อทั้งในส่วนรถจักรยานยนต์และสินค้าอื่นให้เติบโต รับความต้องการของตลาด และความเชี่ยวชาญของทีมผู้บริหารที่มีความเป็นมืออาชีพ

ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) มองว่า NCAP พร้อมเติบโต โดยหลังจากใช้เวลาสามปี ในการปรับปรุงรากฐานและสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการเติบโต NCAP พร้อมรุกไปยังตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่กำลังเติบโตมากขึ้น และมีกระบวนการเรียกเก็บหนี้ที่ดีขึ้น โดยเน้นช่องทางออนไลน์มากขึ้น จากการประเมินโดยใช้วิธีการคิดลดเงินปันผล (DDM) ในการคำนวนมูลค่ายุติธรรมของ NCAP ภายใต้การประเมินคาดการณ์โดยใช้ปีฐานปี 2564 ได้มูลค่าเหมาะสมของบริษัทที่ 2.53 พันล้านบาท หรือ 2.81 บาทต่อหุ้น ราคายุติธรรมคิดเป็น PE ที่ 11 เท่า เทียบกับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ซึ่งอยู่ในช่วงการซื้อขายของคู่แข่งในอุตสาหกรรม