KTBST ชี้หุ้นไทยครึ่งปีหลังไร้ปัจจัยบวก เด้งสั้นๆ แต่ไปไม่ถึง 1,800 จุด

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) คาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ได้ผลประกอบการไตรมาส 2 หนุนรีบาวด์ได้ในช่วงสั้นๆ แต่ปีนี้ไม่เห็น 1,800 จุด เหตุยังขาดปัจจัยบวก และปี 2562 มีความไม่ชัดเจนมาก เชื่อต่างชาติยังขายต่อ

ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ว่า จะสามารถรีบาวด์ได้ในช่วงสั้นๆ เนื่องจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ที่จะทยอยประกาศออกมานั้นน่าจะปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับนักลงทุนรับรู้ปัจจัยลบไปแล้ว

“คาดว่า รอบนี้จะรีบาวด์ขึ้นมาได้ถึง 1,740 – 1,760 จุด แต่ไม่คิดว่าปีนี้ หุ้นไทยจะกลับมาที่ 1,800 จุดได้ เพราะนักลงทุนต่างชาติยังคงขายต่อเนื่อง ยกเว้นว่าความเสี่ยงในต่างประเทศจะหายไป ขณะที่นักลงทุนที่เข้าลงทุนในช่วงดัชนี 1,600 จุดจะขายทำกำไรออกมา” ดร.วิน กล่าว

ทั้งนี้ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลว่า นักลงทุนต่างประเทศยังมีแรงขายอยู่มาก โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีแรงขายออกไปจากตลาดหุ้นไทย 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ทั้งปี 2561 มียอดขายรวม 1.80 แสนล้านบาท ด้วยเหตุผลหลัก 3 ประการ คือ ดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศทางเป็นขาขึ้น, การหยุดใช้ QE และการปรับ valuation ของตลาดรับปัจจัยลบที่มากขึ้น

“ขณะที่สงครามการค้าเป็นเพียงหนึ่งในตัวแปรลบแม้จะคลายความกังวลเรื่องนี้ไปได้ แรงขายนักลงทุนกลุ่มนี้ก็อาจไม่ได้ลดลงไปมากนัก”

อย่างไรก็ตาม ดร.วิน แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นมากขึ้น จากเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนแนะนำให้ถือเงินสด 40-50% ของพอร์ต แต่ในปัจจุบันแนะนำให้ลดการถือเงินสดเหลือ 20-30% เท่านั้น เนื่องจากราคาหุ้นปรับลดลงมาพอสมควรแล้ว โดยแนะนำการลงทุนหุ้นไทย จีน อินเดีย เกาหลี

นอกจากนี้ ดร.วิน ยังระบุว่า ในครึ่งปีหลังหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มที่ดี คือ กลุ่มพลังงาน ซึ่งได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่คาดว่าจะรับรู้รายได้มากขึ้นในครึ่งหลังของปี และกลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคในประเทศ เพราะคาดว่ากำลังซื้อในประเทศจะมีมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ดร.วิน กังวลว่า กลุ่มโรงแรมราคาประหยัด และสนามบิน อาจจะได้รับผลกระทบหากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง รวมทั้งกลุ่มธนาคารที่ปีนี้อาจจะรายได้ลดลงหากปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 ในปีนี้

ดร.วิน เชื่อว่า นักท่องเที่ยวจีนยังคงเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย แต่กังวลว่าหากทางการจีนจับตาธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวในประเทศไทยของนายทุนจีนที่จ้างคนไทยเป็นนอมินีและเข้มงวดในการอนุญาตให้พานักท่องเที่ยวออกมาเที่ยวประเทศไทย ซึ่งทำให้ธุรกิจที่ไม่ใช่นอมินีถูกดูแลเข้มงวดตามไปด้วย อาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมราคาประหยัด และสนามบิน

“ถ้าทางการไทยจัดการกับธุรกิจนอมินีทางฝั่งเราอย่างเดียว ไม่น่ากังวล เพราะคนจีนยังเข้ามาเที่ยวได้อยู่ แต่สิ่งที่กังวล คือ ทางการไทยจัดการกับธุรกิจนอมินีจนทำให้ทางการจีนตื่นเต้นตกใจและเข้ามาจัดการไม่ให้คนเข้ามาเที่ยวบ้านเรา เหมือนในช่วงที่ทางการจีนเข้ามาปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ อันนั้นธุรกิจท่องเที่ยวและสนามบินจะได้รับผลกระทบ” ดร.วิน กล่าว

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 คือ ราคาน้ำมัน สงครามการค้า การเมืองในยุโรป และการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอเมริกา

“กลุ่มพลังงานจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่หากราคาสูงเกิน 80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ก็จะกระทบกับธุรกิจในกลุ่มอื่นและผู้บริโภค เพราะฉะนั้นระดับราคาน้ำมันที่เหมาะสมควรมีเสถียรภาพที่ประมาณ 70 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล” ดร.วิน กล่าว