CPALL ลั่นไม่เพิ่มทุน หุ้นดิ่ง ห่างเป้าเชียร์ซื้อ 78.33 บาท

HoonSmart.com>>”ซีพีออลล์”ทนเห็นราคาหุ้นร่วงไม่ไหว  ออกแถลงการณ์ปฎิเสธข่าวเพิ่มทุน ยันขายหุ้นกู้มีเงินพร้อมซื้อเทสโก้  6 นักวิเคราะห์เชียร์ซื้อ มูลค่าเหมาะสมเฉลี่ย 78.33 บาท บล.เอเซียพลัสคาดกำไร CPALL ปีนี้ลดลง 15.5% 

หุ้นบริษัท ซีพี ออลล์(CPALL) เละ ราคาไหลลงต่อ 1 บาทหรือ 1.81% ปิดที่ 54.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย กว่า 1,416 ล้านบาท วันที่ 29 ต.ค. จากกระแสบริษัทจะเพิ่มทุน รองรับการซื้อกิจการเทสโก้(Tesco) ทั้งในประเทศไทยและมาเลเซีย ภายใต้บริษัทย่อยจัดตั้งขึ้นใหม่ คือ บริษัทซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง ถือหุ้นโดย CPALL 40%, CP Group 40% และ CPF 20%

บริษัทออกแถลงการณ์ขอยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีนโยบายในการเพิ่มทุน เนื่องจากผลของการเสนอขายหุ้นกู้ เมื่อวันที่ 21-28 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี จนทำให้บริษัทสามารถออกหุ้นกู้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และยังคงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่าที่ระบุไว้ในข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้ได้

นอกจากนี้หุ้นกู้ของบริษัทยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนที่แสวงหาการลงทุนในตราสารที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจและเป็นกิจการที่มีความมั่นคงภายใต้อุตสาหกรรมค้าปลีกที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตสูง

ราคาหุ้น CPALL ไหลลงมาลึกกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ โดย 6 รายมีมติเป็นเอกฉันท์ให้”ซื้อ” ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 78.33 บาท ราคากลาง 77.50 บาท บล.เอเชียเวลท์ให้สูงสุดถึง 85 บาท ขณะที่ บล.โนมูระ พัฒนสิน และบล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบีให้เท่ากัน  75 บาท

ด้านบล.เอเซียพลัสออกบทวิเคราะห์ หากยึดตามโครงสร้างเงินทุนที่ CPALL วางแผนใช้ลงทุนในบริษัทซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง จำนวน 3 พันล้านเหรียญฯ โดยการก่อหนี้เป็นหลัก เชื่อว่าจะมีภาระดอกเบี้ยกดดันการเติบโตระยะสั้น-กลาง ซึ่งได้สะท้อนในประมาณการนับจากไตรมาส 4 นี้เป็นต้นไปแล้ว แต่ยังไม่รวมการฟื้นตัวช้ากว่าคาดจากผลกระทบโควิด-19 น่าจะส่งผลให้กำไรปี 2563 ลดลง 15.5% ยังมี Downside ราว 8-10% หากรวมตั้งแต่ต้นปีที่ฝ่ายวิจัยปรับลดกำไรลงมาแล้ว 25% จะคิดเป็นผลกระทบราว 33-35% เชื่อว่าน่าสะท้อนในราคาหุ้นที่ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดของปี

ส่วนการซื้อกิจการครั้งนี้ ต้องติดตามการนำเรื่องคำขอควบรวมกิจการเสนอคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เพื่ออนุมัติ หากพิจารณากรณีเครือข่ายที่ CPALL มีปัจจุบัน (CPALL+MAKRO) ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดราว 31.9% หากรวมกับ Tesco อีกราว 11.6% จะมีส่วนแบ่งตลาดรวม 43.8% ซึ่งไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดมากกว่า 50% และหากอิงตามเกณฑ์กรณีผู้มีส่วนแบ่งตลาดสูง 3 อันดับแรกสูงเกิน 75% ที่พิจารณาส่วนแบ่งตลาดของกลุ่ม CP + Big C (BJC) และ CRC จะสูงราว 59% ถือว่าไม่เข้าข่ายการผูกขาดเช่นกัน ทั้งนี้ กขค. จะพิจารณามูลค่าตลาดรวมที่แตกต่างจากสมมติฐานฝ่ายวิจัย รวมถึงผลกระทบต่อโครงสร้างตลาดเฉพาะส่วนด้วย

อย่างไรก็ตาม การอนุมัติควบรวมที่อาจจะพ่วงมากับเงื่อนไข อาทิ การกำหนดข้อจำกัด ห้ามควบรวมบางสาขาเฉพาะพื้นที่ที่อาจก่อให้เกิดการผูกขาด หรือ การห้ามควบรวมบางฟอร์แมท เช่น ร้านสะดวกซื้อ 7-11 กับ Tesco Lotus Express ที่จะส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดอิงเกณฑ์รูปแบบร้านค้าเข้าข่ายผูกขาด อาจส่งผลให้ฝ่ายวิจัยทบทวนประมาณการตามเงื่อนไขของ กขค. อีกครั้ง แต่เบื้องต้นเชื่อว่าน่าจะมีผลต่อประมาณการจำกัด ส่วนที่มีความเสี่ยงเข้าข่ายผูกขาด เชื่อว่าจะมีสัดส่วนไม่มาก และไม่น่าส่งผลให้มูลค่าธุรกรรมการซื้อกิจการเปลี่ยนแปลงมีนัยสำคัญ