LH แกร่ง รักษาเครดิต A+ ทริสคาดรายได้ 3.2-3.4 หมื่นล.ปี 64-65

HoonSmart.com>>ทริสฯคงอันดับเครดิตบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์” ที่ “A+” แนวโน้ม “คงที่” สถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย รายได้หลากหลาย คาดรายได้ปีนี้ 2.8 หมื่นล้านบาทปี 64-65 กระโดด รักษาอัตรากำไร 36-39% ได้  สวนทางราคาหุ้นไหลลงเหลือ 6.50 บาท 

บริษัททริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้ม “คงที่” สะท้อนความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนแบรนด์ที่แข็งแกร่งในสินค้าที่หลากหลาย รายได้ที่สม่ำเสมอจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า และภาระหนี้เงินกู้ที่อยู่ในระดับปานกลาง บริษัทยังมีความยืดหยุ่นทางการเงินจากการที่มีหลักทรัพย์สภาพคล่องอยู่ในระดับสูง และความกังวลของทริสเกี่ยวกับโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจโรงแรมและค้าปลีกและสร้างความกดดันต่อเศรษฐกิจ และความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางให้มีมากขึ้นอีกด้วย

บริษัทมีสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยเป็นบริษัทชั้นนำ 1 ใน 3 รายแรกในแง่ของรายได้ บริษัทยังมีการลงทุนในธุรกิจโรงแรม อพาร์ทเม้นท์ และธุรกิจค้าปลีกอีกด้วย อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายยังคงมีสัดส่วนที่ประมาณ 80-90% ของรายได้ทั้งหมด อีกทั้งบริษัทยังมีพอร์ตการลงทุนจำนวนมากในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

บริษัทมีฐานรายได้อยู่ในช่วง 3-3.5 หมื่นล้านบาทตั้งแต่ปี 2559  มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 1.3-1.4 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยที่มากกว่า 40% มาจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน และกำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ( REIT) หรือขายให้บุคคลภายนอก บริษัทมีอัตราส่วนกำไรอยู่ที่ระดับ 37-44% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสูงกว่าเฉลี่ยของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่น ๆ อยู่ที่ 20-25%

ทริสประมาณการรายได้ของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาทในปี 2563 และปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.2-3.4 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565  ความสามารถในการทำกำไรอาจลดทอนลงจากฐานรายได้ที่ลดลงและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังเชื่อว่าบริษัทจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้และจะรักษาอัตราส่วนกำไรให้อยู่ที่ระดับประมาณ 36-39% เอาไว้ได้ในช่วงปี 2563-2565

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างยอดขายอย่างสม่ำเสมอที่ระดับ 2.4-2.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ส่วนครึ่งแรกของปี 2563 ทรงตัวอยู่ที่ 1.34 หมื่นล้านบาท ยอดขายและรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรซึ่งเป็นสินค้าหลักค่อนข้างแข็งแกร่งโดยอยู่ที่ระดับประมาณ 1.8-2.1 หมื่นล้านบาทต่อปี ส่วนทาวน์เฮ้าส์อยู่ที่ประมาณ 2-3 พันล้านบาทต่อปี ในขณะที่คอนโดมิเนียมจะแตกต่างกันไปในแต่ละปี  ณ เดือนมิ.ย. 2563 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนาประมาณ 77 โครงการ มูลค่าเหลือขายโดยรวม 5.7 หมื่นล้านบาท (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) โครงการบ้านจัดสรรมีสัดส่วนถึง 80% ของมูลค่าเหลือขาย ส่วนที่เหลือเป็นโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่า 9.3 พันล้านบาท คาดว่าจะส่งมอบให้แก่ลูกค้าได้ในช่วงที่เหลือของปี 2563 จนถึงปี 2565

ทริสคาดว่าระดับหนี้สินจะเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงตามปกติ รวมถึงจากการขยายธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า บริษัทใช้เงินลงทุนในการซื้อที่ดินประมาณ 4-6 พันล้านบาทต่อปีและเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่มูลค่าประมาณ 2.8-3 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งงบในการซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นเป็น 7 พันล้านบาท และบริษัทยังวางแผนจะเปิดโครงการใหม่อีกจำนวน 17 โครงการซึ่งเป็นโครงการแนวราบเท่านั้นอีกด้ว โครงการดังกล่าวมีมูลค่ารวมประมาณ 2.84 หมื่นล้านบาท ลดลงจาก 3.05 หมื่นล้านบาทในปีก่อน

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตั้งงบลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าอีกจำนวน 1 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้าด้วย คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุน จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในช่วง 47-49% ในช่วงปี 2563-2565 จากระดับ 47% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2563 บริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราวจำนวน 4.3 พันล้านบาทและยังมีวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท ทริสยังคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ 8-9 พันล้านบาท ในขณะที่ภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้ามีจำนวน 1.93 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิ.ย.2563 บริษัทถือหุ้นในบจ. 4 แห่ง คือ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป และ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนดังกล่าวอยู่ที่ 3.4 พันล้านบาทต่อปีในปี 2562 และมีเงินปันผลรับอีกจำนวน 2.5 พันล้านบาท มูลค่าตลาดของเงินลงทุนในบริษัทร่วม อยู่ที่ 7.2 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 1.2 เท่าของภาระหนี้คงค้างของบริษัท ทริสมีความเห็นว่ามูลค่าของเงินลงทุนดังกล่าวยังช่วยสนับสนุนความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ของบริษัทได้

ด้านราคาหุ้น LH  ไหลลงอย่างต่อเนื่อง าอยู่ที่ 6.50 บาท เทียบกับราคาในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ขึ้นไปสูงสุด 10.50 บาท และลงไปต่ำสุดที่  5.60 บาท