HoonSmart.com>>”เอสซีจี แพคเกจจิ้ง”ถูกทิ้งต่ำจอง นักลงทุนผิดหวังกำไรอย่างแรง จากที่คาดไว้ 2,000 ล้านบาทในไตรมาส 3 /63 บริษัททำได้เพียง 1,335 ล้านบาท ร่วงลง 9.23% เจอขาดทุนค่าเงิน-โควิดกระทบ ส่วน 9 เดือนกำไรโต 22%เป็น 4,971 ล้านบาท ผู้บริหารลั่นอนาคตสดใส กำลังเจรจาซื้อกิจการอาเซียน 2-3 ดีล เผยมีข่าวดีสิ้นปีนี้ ควบรวม”เวียดนาม”จบปลายปีนี้ ปีหน้ารายได้แตะ 1 แสนล้านบาท 4โรงงานใหม่เพิ่มยอดขาย 9 พันล้าน ตั้งเป้างบลงทุนเกิน 1.2 หมื่นล้านบาท ส่วนกองทุน PASSIVE FUND เข้าซื้อหุ้นตั้งแต่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา
การซื้อขายหุ้นบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง ( SCGP) วันที่ 28 ต.ค. ช่วงเช้าราคาขึ้นไปสูงสุดถึง 36.25 บาท แต่ภาคบ่ายกลับทรุดลงรุนแรง ลงไปต่ำสุดแตะ 34 บาท ก่อนปิดที่ 34.25 บาท ร่วง 4.21% ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 6,723 ล้านบาท เทียบกับวันก่อนหน้ามีการซื้อขายเพียง 2,797 ล้านบาท
สาเหตุหลัก เกิดจากนักลงทุนผิดหวังผลงานบริษัทที่ประกาศว่าไตรมาส 3/2563 มีกำไรสุทธิ 1,335 ล้านบาท ลดลง 9.23% ขณะที่ตลาดคาดว่าจะมีกำไรถึง 2,000 ล้านบาท หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/2563 จำนวน 1,904 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม โดยรวม 9 เดือนปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 4,971 ล้านบาท เติบโตถึง 22% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,072 ล้านบาท
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้กำไรไตรมาส 3 ปีนี้ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 30% เทียบกับไตรมาส 2 เพราะผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนและผลของกฎหมายภาษีอินโดนีเซียจากบริษัท Fajar ขณะที่บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน ประมาณ 1,600 ล้านบาท เทียบกับ 1,700 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปีก่อนและดีขึ้นจากไตรมาส 2 ปีนี้ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยยังคงรักษามาร์จิ้นได้เท่าเดิม 18% และมียอดขาย 23,000 ล้านบาท ส่วน 9 เดือนแรก กำไรโตขึ้น ยอดขายก็โต 5%เป็น 69,190 ล้านบาท มาร์จิ้นเพิ่มขึ้นเป็น19% จากระดับ 17% เพราะผลงานวิจัยและพัฒนาสินค้า
ส่วนแนวโน้มในปี 2564 รายได้มีโอกาสแตะระดับ 1 แสนล้านบาท จากโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) ในประเทศเวียดนาม แห่งที่ 2 กำลังการผลิต 84 ตารางเมตร/ปี ซึ่งจะเริ่มเปิดการผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4/63 และการควบรวมกิจการ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกรายใหญ่ในเวียดนาม คาดว่าดีล SOVI จะแล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค. นอกจากนี้ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในตลาดถือว่ามีจำนวนมากขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ปัจจุบันบรรจุภัณฑ์จะเติบโต 1-2% มากกว่า GDP ซึ่งปีหน้าเศรษฐกิจจะเติบโตจากฐานที่ต่ำในปีนี้
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อธุรกิจบรรจุภัณฑ์ประเภทกระดาษและโพลิเมอร์ในอาเซียนอีก 2-3 ดีล คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายนี้ ส่วนงบลงทุนคาดว่าจะใช้เงินมากกว่าปี2563 ที่ตั้งไว้จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท
สำหรับการลงทุนของบริษัทเอง โครงการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษและโพลิเมอร์อ่อนตัวในไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย จะทยอยแล้วเสร็จในปีหน้า คาดว่าจะสร้างรายได้เต็มปีรวม 9 พันล้านบาทภายในปี 2565
ส่วนโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท หลังจาก IPO มีนักลงทุนสถาบันไทยถือสัดส่วน 18% และสถาบันต่างประเทศถือเพียง 3% โดยบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) รักษาสัดส่วน 70% คาดว่าเมื่อหุ้น SCGP เข้าสู่การคำนวณดัชนี MSCI จะดึงดูดให้สถาบันต่างประเทศเข้ามาลงทุนมากขึ้น และมองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงต่ำกว่าราคา IPO จะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสำหรับนักลงทุนทุกกลุ่ม ที่มีความต้องการจองซื้อหุ้น IPO ล้นก่อนหน้านี้
ด้านผู้จัดการกองทุน กล่าวว่า กองทุน PASSIVE FUND ที่ลงทุนอิงดัชนี SET50 เข้าซื้อหุ้น SCGP ตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 ต.ค. เนื่องจากหุ้นจะถูกนำคำนวณดัชนี SET50 ในวันที่ 28 ต.ค.2563 ส่วนสาเหตุที่ราคาหุ้นต่ำจองในวันนี้ น่าจะเกิดจากนักลงทุนผิดหวังผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ออกมากำไรลดลงจากคาดว่าจะโตเหมือนไตรมาส 2/2563 อย่างไรก็ตามงวด 9 เดือนกำไรยังเติบโต ถือว่าดี จึงไม่อยากให้มองแค่รายไตรมาสในระยะสั้น
นายกุลเชฎฐ์ ธาราจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการเงิน บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) กล่าวว่า บริษัทมีเงินสดเหลือประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท หลังจากนำเงินไปชำระหนี้ 1.3 หมื่นล้านบาท จากหนี้ทั้งหมด 5.8 หมื่นล้านบาท D/E เหลือ 0.4 เท่า งบการเงินแข็งแกร่ง สามารถก่อหนี้สำหรับการซื้อกิจการและลงทุนได้ในอนาคต