บลจ.ยูโอบีจับตาเลือกตั้งสหรัฐ ชูหุ้นยั่งยืนทั่วโลกแกร่ง-หุ้นจีน A-Share เด่น

HoonSmart.com>> บลจ.ยูโอบี ชี้ตลาดจับตาเลือกตั้งสหรัฐ มอง “โจ ไบเดน” คว้าชัยหนุนเศรษฐกิจเอเชีย การแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ ชูจัดพอร์ตลงทุนหุ้นจีน A-Share โดดเด่นกลุ่มเทคหนุน หุ้นทั่วโลกเน้น ESG แนวโน้มเติบโต มองก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นผันผวนสูง แนะหุ้นลงจังหวะทยอยซื้อ ด้านหุ้นไทยไร้ปัจจัยหนุน สิ้นปี 1,300 จุด

กุลฉัตร จันทวิมล

นายกุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังต้องติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในต้นเดือนพ.ย.นี้ การแพร่ระบาดของโควิดรอบสอง โดยเฉพาะในยุโรปซึ่งมีการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ รวมถึงนโยบายการเงินของธนาคารกลางของแต่ละประเทศ

ในส่วนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐตามโพลนายโจ ไบ เดน มีคะแนนสูงกว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งบลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) และยูโอบีสิงคโปร์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่มองว่าหากนายโจ ไบเดน ชนะเลือกตั้งจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น เนื่องจากมีการทำงานที่เป็นระบบมากกว่าโดนัลด์ ทรัมป์ และมองนโยบายภาษีคงไม่ขึ้นในทันที เนื่องจากเศรษฐกิจยังบอบบางอาจจะชะลอขึ้นภาษีออกไปก่อนและน่าจะมีนโยบายการกระตุ้นเศรษกิจออกมา รวมทั้งวิธีการทำงานแบบกลยุทธ์ผ่านองค์การการค้าโลกและองค์การสหประชาชาติ ไม่เหมือนโดนัลด์ ทรัมป์

“ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนน่าจะผ่อนคลายลงจึงมองภาพรวมเศรษฐกิจเอเชียน่าจะได้ประโยชน์ หากไม่มีการแพร่ระบาดโควิดระลอกสอง ขณะเดียวกันหากวัคซีนต้านโคิดออกมาได้เร็วต้นปี 2564 น่าจะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อตลาดหุ้นอย่างชัดเจน

“หากโจ ไบเดนชนะเลือกตั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนน่าจะผ่อนคลายลง เพราะการทำงานแบบกลยุทธ์ ในรูป Committee ไม่ใช่ one man show ซึ่งมองเป็นผลดีต่อจีนและมองภาพรวมเศรษฐกิจเอเชียน่าจะได้ประโยชน์ หากไม่มีการแพร่ระบาดโควิดระลอกสอง ขณะเดียวกันหากวัคซีนต้านโคิดออกมาได้เร็วต้นปี 2564 น่าจะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อตลาดหุ้นอย่างชัดเจน โดยภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐจะโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ความหวือหวาจะน้อยลง แต่ถ้าทรัมป์ได้ ภาพก็คงเหมือนเดิม ตลาดเหวี่ยงสูง ทุกอย่างมีเซอร์ไพร์ส”นายกุลฉัตร กล่าว

ส่วนนโยบายการเงินของแต่ละประเทศเชื่อว่ายังคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปและหากประเทศไหนมีรูมที่ดอกเบี้ยยังลงได้อีกก็มีโอกาสลงได้ต่อหากเกิดการแพร่ระบาดโควิดระลอกสองและสาม

นายกุลฉัตร กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง หากตลาดผันผวนลงก่อนการเลือกตั้งสหรัฐมองเป็นโอกาสในการทยอยลงทุน สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นสามารถทยอยลงทุนหุ้นต่างประเทศได้ไม่เกิน 25% หากในพอร์ตลงทุนอยู่แล้วแนะนำให้ถือต่อจนเลือกตั้งจบ หากตลาดยังย่อตัวก็ทยอยซื้อเพิ่มได้เป็นลำดับ หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำให้รอดูสถานการณ์หลังเลือกตั้ง

“ยูโอบีสิงคโปร์และเรายังมองหุ้นน่าสนใจลงทุนมากกว่าตราสารหนี้ แต่ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นทั่วโลกน้ำหนักการลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่ราคาอยู่ในระดับสูง จึงอาจมีการปรับฐาน ต้องรอจังหวะตลาดปรับตัวลง โดยกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ หุ้นเทคโนโลยี ซึ่งโควิดยิ่งทำให้กลุ่มนี้เติบโตได้อีก โดยแนะนำหุ้นในกลุ่ม Innovation ที่มีเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ รวมถึง Health Care และ Education Tech รวมถึงตลาดหุ้นจีน A-Share ซึ่งเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาเร็วหลังโควิดและบางบริษัทเติบโตได้ดีกว่าก่อนโควิด อีกทั้งมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหลายธุรกิจโดดเด่น ซึ่งบลจ.ยูโอบีเตรียมเปิดตัวกองทุนใหม่ในเดือนพ.ย.นี้ ส่วนตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นมองเป็นตลาด Laggard ไม่น่าจะแย่ไปกว่านี้แล้ว” นายกุลฉัตร กล่าว

นอกจากนี้บลจ.ยูโอบีให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมและธรรมาภิบาล (ESG) มากขึ้นและเชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวจะมาทดแทนธีมในอดีต นอกเหนือจากการลงทุนของกลุ่มยูโอบีซึ่งเน้นด้าน ESG แล้ว ยังเตรียมออกกองทุนเน้นลงทุนหุ้นทั่วโลกที่มี ESG เด่น เปิดขายในต้นเดือนพ.ย.นี้ หลังจากเดือนส.ค.ที่ผ่านมาเปิดตัวกองทุนแรก เนื่องจากการลงทุนในธีม ESG ได้รับความนิยมมากขึ้น และจากผลตอบแทนที่ผ่านมาสูงกว่าการลงทุนทั่วไปประมาณ 3-5% อีกทั้งในช่วงตลาดหุ้นทั่วโลกลงแรง หุ้น ESG ปรับตัวลงน้อยกว่าและฟื้นตัวเร็ว ประกอบกับแนวโน้มที่การลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญ ESG มากขึ้นจึงเชื่อว่าเม็ดเงินจากประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มดังกล่าว

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยสนับสนุน ขณะเดียวกันการเมืองในประเทศยังกดดันการลงทุน หากดัชนีปรับตัวลงต่ำกว่า 1,200 จุด มองเป็นโอกาสสะสม แต่ต้องระวังการแพร่ระบาดของโควิดระลอกสอง และยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มท่องเที่ยวและการส่งออก ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดรุนแรงและยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว นอกจากนี้ยังต้องติดตามผลกระทบของหนี้เสีย (NPL) หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต่ออายุมาตรการโดยยืดหนี้เฉพาะราย ซึ่งธปท.คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ประมาณปี 2565 ดังนั้นการเข้าลงทุนหุ้นไทยในปี 2564 ก็ยังไม่สายเกินไป

อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ในประเทศเริ่มคลี่คลาย การแพร่ระบาดไม่มีน่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและหนุนดัชนีสิ้นปี 1,300 จุดได้ และแนวรับน่าจะยืนแถว 1,185 จุดได้ ส่วนนักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี แนะนำลงทุนกองทุนต่างประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีและมีทางเลือกลงทุนได้มากกว่าลงทุนในหุ้นไทย

นายกุลฉัตร กล่าวว่า สำหรับพอร์ตการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำลงทุนตราสารหนี้สัดส่วน 50-70% , หุ้น 0 -10% และลงทุนทางเลือก 10-20% ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงแนะนำตราสารหนี้ 25% ,หุ้น 50% และการลงทุนทางเลือก 25%