คาด SCC กวาดกำไร 8-9 พันลบ. เชียร์ราคาต่ำ-ปันผลดี ปิดซ่อม Q4

HoonSmart.com>>บล.เมย์แบงก์ฯแนะซื้อ SCC ให้เป้า 400 บาท คาดไตรมาส 3 กำไร  9 พันล้านบาท ธุรกิจปิโตรเคมีหนุน ราคาหุ้นมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอีก จ่ายปันผลสม่ำเสมอ บล.เอเซียพลัส คาดกำไร  8.8 พันล้านบาท  สต๊อกช่วย  แนะซื้อ ราคา 424 บาท คาดปันผล 4.01% ส่วนบล.กสิกรไทย แนะถือ เป้า 384 บาท ปันผล  3.56% คาดกำไรที่ 9.1 พันล้านบาท  ส่วนไตรมาส 4 ต่ำสุดของปีนี้ ปิดซ่อมโรงงาน รวมทั้งปี 63 โกยกำไร 3 หมื่นล้านบาท

บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (SCC) นัดเปิดเผยตัวเลขกำไรงวดไตรมาสที่ 3/2563 ในวันที่ 29 ต.ค.2563 โดย นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) คาดว่า SCC จะมีกำไรสุทธิประมาณ 9,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 4% จากไตรมาสก่อนหน้า

สาเหตุที่ทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมาจากส่วนต่างหรือสเปรดธุรกิจหลักปิโตรเคมีดีขึ้น ในผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ ความต้องการเริ่มกลับมาฟื้นดี ส่วนธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างยังสามารถประคองตัวได้ดี

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และน้ำมันดิบ รวมถึงสถานการณ์การเมือง หากยืดเยื้ออาจจะกระทบต่อการประมูลโครงการของภาครัฐ ทำให้สัญญาณการใช้ปูนซีเมนต์ลดลง นอกจากนี้ไตรมาส 4/63 ยังมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานประมาณ 45 วัน จากแผนเดิมจะปิดซ่อมบำรุงในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา

บล.เมย์แบงก์ฯ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SCC ที่ราคาเป้าหมาย 400 บาท ซึ่งมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นจากราคาปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ คาดว่าปี 2563 จะจ่ายหุ้นละ 13 บาท และปี 2564 จ่าย  14-15 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผลประมาณ 4% ต่อปี

ด้านฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส คาดว่า SCC จะมีกำไรสุทธิ 8,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้ประโยชน์จากสเปรดของผลิตภัณฑ์ในธุรกิจปิโตรเคมี และความต้องการที่เพิ่มขึ้นมาก รวมถึงได้กำไรจากการสต๊อก จึงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสม 424 บาท มองว่าธุรกิจมีความมั่นคง มีการเติบโตในระยะยาว และการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอคาดว่าปี 63 ให้อัตราผลตอบแทน 4.01%

บล.กสิกรไทย คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 อยู่ที่ 9,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% มาจากส่วนต่างราคา HDPE ที่สูงขึ้นและอุปสงค์ซีเมนต์ที่แข็งแกร่งขึ้น แต่กำไรสุทธิลดลง 3% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากรายได้เงินปันผลที่ลดลง และยอดขายที่อ่อนตัวลงของทุกหน่วยธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีและ ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง คาดว่า 9 เดือนแรกจะมีกำไรสุทธิประมาณ 25,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิทั้งปี 63 คาดว่าอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท

สาเหตุที่มองว่าไตรมาส 4/63 จะมีกำไรสุทธิประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงต่ำที่สุดของปี 63 มาจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานผลิต MOC เป็นเวลา 45 วัน และโรงงาน VCM2 เป็นเวลา 1 เดือน จะส่งผลกระทบต่อยอดขายโพลีโอเลฟินส์มากถึง 130,000 ตัน หรือ 28% ของระดับปกติ รวมถึงคาดว่ากำไรธุรกิจซีเมนต์จะอ่อนตัวลงตามฤดูกาล และกำไรที่ลดลงจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่มูลค่าธุรกิจที่ลดลง (Dilution) จากการเสนอขายหุ้น SCGP ในตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตามยังแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมาย 384 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันยังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอยู่ และคาดอัตราผลตอบแทนจปันผลปี 63 ที่ 3.56%

ด้านหุ้น SCC วันที่ 26 ต.ค. 63 ซื้อขายที่ราคา 337 บาท +2.00 บาท หรือ +0.60% ณ เวลา 10.57 น.