SCGP เทรด22ต.ค. อย่ารีบขาย กองทุนรอช้อน 1.5% ของพอร์ต

HoonSmart.com>>กองทุนแนะ หุ้นน้องใหม่ “เอสซีจี แพคเกจจิ้ง”เหมาะถือยาว ไม่ควรรีบขายทำกำไรวันแรก กองทุน PASSIVE อิงหุ้นบนดัชนี SET50 -SET100 ต้องเข้าไปซื้อปรับพอร์ต ธุรกิจโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรโตตามโลกยุคใหม่ ด้านบล.เอเซียพลัสคาดตลาดได้รับแรงกดดันจากหุ้นใหญ่เข้าเทรดวันนี้  บริษัทโชว์ไตรมาส 2/63 กำไร 1,904 ล้านบาท โตแรง 94 %

บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 22 ต.ค. 2563 ในราคา IPO ที่ 35 บาท เป็นหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท เข้าคำนวณดัชนี SET50 -SET100 ทันที แต่จะต้องรอให้ตลาดหลักทรัพย์ประกาศว่าจะมีผลเมื่อใด  T+2 หรือ T+3 ทำให้กองทนรวมที่มีนโยบายการลงทุน PASSIVE อิงหุ้นบนดัชนี SET50 -SET100 จะต้องเข้าซื้อหุ้น SCGP ในวันที่ T+2 หรือ +3 ตามการรีบาลานซ์ของดัชนี

“กองทุนแต่ละกองจะต้องซื้อหุ้น SCGP ประมาณ 1.5% ของพอร์ต  ส่งผลดีต่อราคาหุ้น และแนวโน้มเป็นหุ้นเติบโตได้ดี ธุรกิจการให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร เป็นที่ต้องการของโลกยุคใหม่ ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้บรรจุภัณฑ์”แหล่งข่าวกล่าว

ด้านบล.เอเซียพลัสคาด SCGP เข้าซื้อขาย อาจกดดันดัชนีหุ้นเล็กน้อย เพราะกองทุนน่าจะเร่งเตรียมเงิน สำหรับปรับน้ำหนักพอร์ตใหม่ในช่วงนี้  น่าจะกดดันหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันในช่วงสั้น

ส่วนกองทุนประเภท Passive Fund น่าจะเตรียมปรับพอร์ตต่อหลังจากหุ้น SCGP เข้าตลาดมาได้ 3 วัน เนื่องจาก SCGP มีโอกาสสูงที่จะเข้าคำนวณในดัชนี SET50 และ SET100 แบบ Fast track (T+3)

บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง  รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 / 2563 กำไรสุทธิ 1,904.21 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.61 บาท เพิ่มขึ้น 924.78 ล้านบาท หรือ 94.42 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนกำไร 979.43 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.31 บาท

งวด 6 เดือน 2563 กำไรสุทธิ 3,636.34 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.16 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรสุทธิ 2,601.50 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.83 บาท

สำหรับปี  2562 กำไรสุทธิ 5,268.51 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น  1.69 บาท ลดลง 797 ล้านบาท หรือ 13 % เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรสุทธิ 6,065.53 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.94 บาท

บริษัท ฯ ชี้แจงภาพรวมธุรกิจไตรมาส 2 มีรายได้จากการขาย 21,636 ล้านบาท ลดลง 11% จากไตรมาสก่อน จากผลการดําเนินงานทั้งสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร รวมถึงสายธุรกิจเยื่อและกระดาษที่ลดลง

บริษัทมี EBITDA เท่ากับ 3,963 ล้านบาท ลดลง 21% จากไตรมาสก่อน  ขณะที่กําไรเพิ่มขึ้น 10% เพราะมีกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินกู้ยืมสกุลดอลลาร์สหรัฐของบริษัทในกลุ่ม  ขณะที่ไตรมาส 1  มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินกู้ยืมดังกล่าว   ส่วน 6 เดือนแรก มีรายได้จากการขาย  45,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% และ EBITDA เพิ่มขึ้น 26% เป็น  8,994 ล้านบาท

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP  กล่าวว่า  บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ วันแรก 22 ต.ค.นี้   คาดว่าศักยภาพ ที่เป็นผู้นำธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน จะสร้างความเชื่อมั่น และได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ที่ต้องการร่วมเติบโตไปพร้อมกับบริษัทฯ

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง  ในฐานะแกนนำขายหุ้น   คาดว่า SCGP จะเป็นหุ้นที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่โดดเด่น มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจมากว่า 40 ปี มีการพัฒนาโมเดลธุรกิจและขยายการลงทุนต่อเนื่อง สินค้าครอบคลุมทั้งบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์จากพอลิเมอร์ มีฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย

jc