SUPER คาดรายได้ปีนี้โตแตะ 6.2 พันล้าน ลุยสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม ด้าน จอมทรัพย์ ยันตนเองและครอบครัวไม่ได้ขายหุ้น เผยหุ้นร่วงเพราะผู้ถือหุ้นรายอื่นขายหุ้นออกบางส่วน นำเงินไปลงทุนวิน เอนเนอร์จี้
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์บล็อก หรือ SUPER เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 6,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 5,239 ล้านบาท โดยไตรมาสแรกปีนี้คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ 1,459 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปีที่แล้วที่มีรายได้ 1,449 ล้านบาท
“รายได้ปีนี้ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 6,200 ล้านบาท มาจากการเติบโตตามปกติของบริษัท จากการขายไฟฟ้าเข้าระบบเพิ่มขึ้นอีก 38.5 เมกะวัตต์ ซึ่งรวมถึงรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับเอกชน 60 เมกะวัตต์ในช่วงไตรมาส 4 รวมเป็นกำลังการผลิตทั้งหมด 750 เมกะวัตต์ แต่รายได้ที่ประมาณการณ์ดังกล่าว ยังไม่รวมรายได้อื่นๆที่จะเข้ามาเพิ่มในอนาคตที่เรากำลังดำเนินการอยู่”นายจอมทรัพย์กล่าว
ที่มา : ประมาณการณ์รายได้ SUPER ปี 2561
นายจอมทรัพย์ กล่าวว่า ปัจจัยที่จะสร้างรายได้เพิ่มให้กับ SUPER ในปีนี้ จะมาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.การนำโรงไฟฟ้าโซล่าเซล 2 แห่ง 118 เมกะวัตต์ มาจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งดำเนินการมาต่อเนื่องไม่ได้หยุด โดยจะมีการยื่นไฟลิ่งในเดือนพ.ค. นี้ คาดว่าจะได้รับอนุมัติให้ขายหน่วยได้ภายในปีนี้
ทั้งนี้ คาดว่ารายได้จากการจัดตั้งกองทุนฯจะอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะนำมาบันทึกเป็นกำไรพิเศษหลังจากหักต้นทุนการลงทุนโรงไฟฟ้าแล้ว โดยเงินที่ได้จะนำไปชำระหนี้คืนเจ้าหนี้ การนำเงินกลับไปลงทุนในกองทุนฯในสัดส่วน 15% ส่วนที่เหลือจะนำมาใช้เป็นสภาพคล่องในการลงทุนโครงการในอนาคต
2.บริษัทจะเริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เวียดนามเฟสแรก 340 เมกะวัตต์ วงเงินลงทุน 2.7 หมื่นล้านบาท ในช่วงกลางปีนี้ จากข้อตกลงความร่วมมือ (MOA) ที่ได้ลงนามไว้ 698 เมกะวัตต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จใน 12-24 เดือน โดยเงินลงทุนในส่วนนี้ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะทางผู้ร่วมทุนในเวียดนามจะลงทุนให้ก่อน
“หากกองทุนอินฟราสตัคเจอร์มีอุปสรรค ก็จะไม่กระทบโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม เพราะจะใช้วิธีเทรินคีย์ โดยผู้ร่วมทุนจะลงทุนให้ก่อนแล้วเราค่อยจ่ายเงินคืนเมื่อมีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) โดยโครงการเฟสแรกจะใช้เงินกู้ 75% และเงินของผู้ลงทุน 25% หรือ 6,800 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินลงทุนในส่วนของ SUPER จำนวน 3,600 ล้านบาท”นายจอมทรัพย์ระบุ
และ3.การออกหุ้นกู้วงเงิน 36,000 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เดิม ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถลดต้นทุนดอกเบี้ยลงได้ 1-1.5% และหากบริษัทสามารถลดต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้ลงได้ 1% จะทำให้บริษัทลดรายจ่ายลงประมาณ 300-400 ล้านบาท ซึ่งในปีที่แล้วบริษัทมีต้นทุนทางการเงิน 1,454 ล้านบาท
นายจอมทรัพย์ กล่าวถึงราคาหุ้นของบริษัทที่ลดลงต่อเนื่องจากระดับ 1.52 บาทเมื่อสิ้นปี 2559 ลงมาอยู่ที่ 0.99 บาทเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า ตนเองและครอบครัวไม่เคยหายหุ้น และกำลังหาเงินเข้ามาซื้อเพิ่มด้วยซ้ำ ซึ่งเข้าในว่านักลงทุนรายใหญ่ที่ขายหุ้นออกไป เพราะมีความจำเป็น
“ผมและครอบครัวไม่ได้ขายเลย และอยากซื้อเพิ่มด้วย กำลังหาเงินมาซื้อเพิ่ม แต่ต้องไปดูว่าเราจะหาเงินมาอย่างไร ถามว่าทำไมซื้อ ก็เพราะว่าในฐานะผู้บริหารเราเห็นว่าเป็นการลงทุนที่ดี โบรกฯก็เชียร์ให้ซื้อ การที่ผมอยากซื้อก็เป็นเรื่องปกติ ราคาหุ้นที่ลงมาไม่ใช่ว่านักลงทุนไม่มั่นใจว่าเราทำตามที่พูดไม่ได้ แต่ที่หุ้นมันลงมา เพราะเป็นเรื่องดีมานด์ซัพพลาย โดยรายใหญ่ที่เป็นผู้ถือหุ้นเดิมขายออกไปบ้าง เพราะเขาต้องการนำเงินไปลงทุนในวิน เอนเนอร์จี้”นายจอมทรัพย์กล่าว