HoonSmart.com>>ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ปประเดิมเปิดกำไรไตรมาส 3/63 กวาด 1,611 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 มากกว่า 21% แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน สินเชื่อหดตัวตามเศรษฐกิจ โชคดีได้ดอกเบี้ยขาลงช่วยเพิ่มรายได้-ผลตอบแทน ส่วน 9 เดือนกำไรลดลง 18% เหลือ 4,427 ล้านบาท ธนาคารกสิกรไทยเพิ่มความแข็งแกร่งของเงินกองทุน ขายหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ 500 ล้านเหรียญ ราคาหุ้นเด้งขึ้น 1% สวนทางตลาดหุ้นทรุด 21 จุด
บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2563 มีกำไรสุทธิ 1,611ล้านบาท ลดลง 266.21 ล้านบาท คิดเป็น14.18% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,877.74ล้านบาท แต่ดีขึ้นจากไตรมาส 2 ประมาณ 21.2% เทียบกับที่ทำกำไรได้ 1,329 ล้านบาท
“กำไรที่ลดลงจากไตรมาส 3 ปีก่อน ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ มีเงินให้สินเชื่อ 1,934 ล้านบาท ลดลง 4.4% แต่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิดีขึ้น 4.6% เป็น 3,2525 ล้านบาท เพราะค่าใช้จ่ายลดลงตามการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีในภาวะดอกเบี้ยขาลง และอัตราผลตอบแทนของเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ 7% เพิ่มขึ้นจาก 6.9% จากการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานบัญชี TFR9 ขณะที่ต้นทุนเงินทุนลดลงจาก 2.1% มาอยู่ที่ 1.5% ทำให้มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 4.7%
ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักอ่อนตัวลง โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ทั้งนายหน้าประกัน และค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ ส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) เพิ่มขึ้นเป็นไปตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นในภาวะเศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับผลงานรวม 9 เดือนปีนี้ กำไรทั้งสิ้น 4,427 ล้านบาท ลดลง 978 ล้านบาทหรือประมาณ 18% จากที่มีกำไรสุทธิ 5,405 ล้านบาทในระยะเดียวกันปีก่อน
ด้านธนาคารกสิกรไทย (KBANK) แจ้งว่า วันที่ 14 ต.ค.2563 ธนาคารได้ออกตราสารทางการเงินประเภทด้อยสิทธิและไม่มีผู้ถือแทนผู้ถือตราสาร ที่สามารถนับเป็นกองทุนขั้นที่ 1 มูลค่า 500 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 15,500 ล้านบาท เสนอขายสถาบันในต่างประเทศทั้งจำนวน ไม่มีกำหนดอายุ (หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์) อัตราดอกเบี้ย 5.275% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือน
ก่อนหน้านี้ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ออกหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ มูลค่า 750 ล้านเหรียญ เพิ่มเงินกองทุนขั้นที่ 1 เช่นเดียวกัน
บล.ทรีนีตี้ ยังคงมุมมองเดิมว่าธนาคารพาณิชย์เตรียมจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางด้าน NPLs ที่สูงขึ้นตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไปอย่างแน่นอน ถึงแม้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารจะลดลงมามากแล้ว แต่ยังไม่พอและยังไม่สะท้อนการลดการจ่ายปันผลอย่างมีนัยสำคัญหรืออาจระงับการจ่ายปันผลในปีนี้ไปเลย
อย่างไรก็ตามราคาหุ้น KBANK ยืนแข็งแกร่ง ขึ้นไปสูงสุดถึง 74 บาท ก่อนย่อมาปิดที่ 73 บาท +0.75 บาทหรือ 1.04% ขณะที่หุ้น BBL ปิดที่ 94.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง และ SCB บวก 0.25 บาท ปิดที่ 64.50 บาท แม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะดิ่งลงเหว 21 จุดก็ตาม หรือ 1.66% เมื่อวันที่ 15 ต.ค.2563 ที่ผ่านมาก็ตาม