NRF เร่งลงทุนดันยอดขาย 3 พันล.ปี’67 บล.ทิสโก้แนะซื้อ RBF กำไรโต 23%

HoonSmart.com>>น่าผิดหวัง!หุ้นน้องใหม่ เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์  ราคาลงต่อวันที่สองเหลือ 5.50 บาท ซีอีโอยันปีนี้ยอดขายโตไม่ต่ำกว่า 15-20% เงิน IPO ส่วนใหญ่ คืนหนี้ระยะยาว 972 ล้านบาท ลดภาระดอกเบี้ย 50-60 ล้านบาท/ปี แผน 3 ปี ใช้เงินลงทุนกว่า 1,068 ล้านบาท ดันยอดขายแตะ 3,000 ล้านบาท ในปี 67 ส่วนบล.ทิสโก้แนะนำ “ซื้อ” บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย กำไรเพิ่มทุกปี  ได้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมอาหารโต

บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ (NRF) เพิ่งนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2563 ที่ผ่านมา เปิดสวยราคากระโดดที่ 9.05 บาท ก่อนทิ้งตัวลงแรง ปิดที่ 6.05 บาท+1.45 บาทหรือเพิ่มขึ้นเพียง 31.52% จากราคา IPO ที่ 4.60 บาท และวันที่สองของการซื้อขาย (12 ต.ค. ) ราคายังคงไหลต่อ 9.09% ปิดที่ 5.50 บาท สวนทางตลาดโดยรวมที่บวก 6 จุด สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน

นักลงทุนคาดหวังว่าหุ้น NRF จะสามารถเปิดและปิดด้วยราคาร้อนแรงเหมือน IPO หลายตัวก่อนหน้าและยืนแข็งแกร่งเหมือน RBF (บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย) ที่ขาย IPO ในราคาหุ้นละ 3.30 บาท ล่าสุดปิดที่ 10.20 บาท อัตราผลตอบแทนมากกว่า 200% เพราะทำธุรกิจคล้ายคลึงกัน โดย NRF เป็นผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัติ อาหารโปรตีนจากพืช อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ รวมถึงผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shape) ขณะที่ RBF เป็นผู้นำในการผลิตและจำหน่ายวัตถุแต่งกลิ่น แต่งรส สีผสมอาหาร  จุดเด่นอยู่ที่งานวิจัยและฐานลูกค้ารายใหญ่ในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง อาหาร และขนมขบเคี้ยว

นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ (NRF) กล่าวว่า บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่งผลดีต่อศักยภาพการดำเนินงานและสถานะทางการเงินที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น รองรับแผนลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2563-2565) คาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 1,068 ล้านบาท เพื่อรุกขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนพืชในระดับพรีเมียม ส่วนเงินที่นำไปชำระเงินกู้ยืมระยะยาวทั้งหมด จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยราว 50-60 ล้านบาทต่อปี ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำกว่า 1 เท่า

“การเข้าตลาดหลักทรัพย์ ช่วยผลักดันเป้าหมายการเติบโตยอดขายเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท ภายในปี 2567 และทำให้ NRF ก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมผลิตอาหารในระดับสากล รวมถึงการมีรูปแบบพร้อมรองรับผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการเติบโตสูงในอนาคต นอกจากนี้ บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ” นายแดน กล่าว

ทั้งนี้ในหนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นระบุว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จาก IPO ส่วนใหญ่ไปชำระหนี้ระยะยาวทั้งหมด 972 ล้านบาท เพื่อไม่ต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้สำหรับในการจ่ายเงินปันผล ส่วนเงินที่เหลือ รองรับการลงทุนโครงการในอนาคตจำนวน 188-328 ล้านบาทในปี 2563-2564

นายแดนกล่าวต่อว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2563 คาดว่ายอดขายจะเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 15-20% หลังได้รับผลปัจจัยบวกจากแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของ NRF เป็นที่นิยมในท้องตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทั้งในกลุ่มอาหาร Ethnic Food กลุ่มอาหาร Plant-Based Food รวมถึงผลิตภัณฑ์ Functional Products (V-shapes) เช่น ผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะที่ผลชงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวม 603  ล้านบาท กำไรสุทธิ 41 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 517  ล้านบาท และกำไรสุทธิ 16.3 ล้านบาท

ด้าน บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น RBF ราคาเป้าหมาย 11.10 บาท ในฐานะที่เป็นตัวแทนที่ดีของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร และได้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมอาหารที่เติบโตขึ้น คาดแนวโน้มกำไรต่อหุ้นในปี 2563-2565 เฉลี่ย 23%  เพราะ 4 ปัจจัยคือ 1.ยอดขายกว่า 90% มาจากการผลิตตามคำสั่งซื้อ  2.ก่ารทำ R&D ที่รอบด้าน  3.การขยายกิจการในต่างประเทศ 4.การทำรสชาติใหม่ๆ เพื่อช่วยการเติบโตในอนาคตและเพิ่มอัตรากำไร ในขณะที่การดำเนินงานของโรงแรมที่ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน  คาดว่าโรงแรมจะมีผลขาดทุน 50-70 ล้านบาทต่อปี

“RBF มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำของโลกด้วยการทำรสชาติที่แปลกใหม่ และมีความเป็นเอกลักษณ์ และด้วยรายได้กว่า 90% มาจากการทำกลิ่นตามคำสั่ง และ RBF ยังได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลงการส่งอาหาร และด้วยอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้น การแต่งกลิ่นและสีสังเคราะห์ รวมถึงแป้ง และซอส จึงเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ”

นอกจากนี้ผู้บริหารยังคงมุ่งเน้นในธุรกิจสุขภาพและความสะดวกสะบายรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของ Halal ทำให้การเติบจากการส่งออกเป็นปัจจัยสำคัญ (เวียดนามโตในระดับ 2 หลัก และอินโดนีเซีย 1 หลักปลายๆ) นอกจากนี้ ยังคาดว่า RBF จะได้ประโยชน์จากความสามารถในการแข่งขันที่สูงจากการทำ R&D เพื่อตอบโจทย์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ

jc