ALLA เปิดเกมรุกบุกตปท.ดันรายได้ 3 ปีแตะพันล.

ALLA เปิดกลยุทธ์เจาะตลาดต่างประเทศในธุรกิจให้บริการเครนและประตูในโรงงานอุตสาหกรรม พร้อมบุกตลาดใหม่รุกคืบเข้าสู่ธุรกิจ “Automate Warehouse” หนุนขึ้นแท่นผู้ให้บริการขนถ่ายอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรมแบบครบวงจร คาดเริ่มเห็นผลชัดตั้งแต่ปี 62 หวังดันรายได้รวมภายในระยะ 3 ปีข้างหน้า เกินระดับ 1,000 ล้านบาท

นายองอาจ ปัณฑุยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล่า (ALLA) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้จัดทำแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจด้วยการรุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่มุ่งหวังขยายฐานรายได้ให้เพิ่มขึ้น คือ งานระบบขนถ่ายสินค้าอัตโนมัติ “Automate Warehouse” ซึ่งได้เริ่มบุกตลาดตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยพบว่าได้รับการตอบรับในทิศทางที่ดี และมีความต้องการเข้ามาค่อนข้างมาก เพราะจุดเด่นของบริษัทฯ สามารถตอบโจทย์การให้บริการสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า

ขณะเดียวกันยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจเดิมและยังเป็นธุรกิจหลัก คือ การให้บริการ เครน ประตูอุตสาหกรรมในโรงงานอุตสาหกรรม โดยจะเน้นขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นด้วยการเจาะตลาดต่างประเทศ ในเบื้องต้นนั้นจะอาศัยการให้บริการไปพร้อมกับกลุ่มลูกค้าที่มีแผนขยายฐานการผลิตและการลงทุนไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะภูมิภาคใกล้เคียง

สำหรับความคืบหน้าล่าสุดอยู่ระหว่างการจัดตั้งสำนักงานตัวแทนในประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ และจะใช้เป็นรูปแบบในการเปิดตลาดในประเทศอื่น ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ เมียนมา และเวียดนาม เพื่อวางรากฐานให้บริษัทฯ กลายเป็น International Brand ในอนาคต

“ผลของกลยุทธ์ในอันที่จะขยายฐานลูกค้ารายใหม่ในธุรกิจเดิม ควบคู่ไปกับการบุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่นั้น บริษัทฯคาดหวังว่าจะเริ่มเห็นผลอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2562 และในระยะ 3 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2564 รายได้รวมของบริษัท จะเกินกว่าระดับ 1,000 ล้านบาท และจะผลักดันให้บริษัทฯ กลายเป็นผู้ให้บริการครบวงจรในด้านการขนถ่ายอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมไปถึงการระบบจัดการคลังสินค้า และเชื่อมั่นว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากประเมินว่าความต้องการลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะเพิ่มมากขึ้นภายหลังการเกิดของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) อีกทั้งหากมีการเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2562 ตามแผนที่รัฐบาลกำหนดไว้ จะสนับสนุนให้เกิดความมั่นใจในการลงทุนของภาคเอกชนตามมา” นายองอาจกล่าว

จุดเด่นสำคัญอีกประการหนึ่งของบริษัทฯ คือการมีฐานลูกค้าระดับชั้นนำและกระจายในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เหล็ก ยานยนต์ โรงไฟฟ้า รถไฟฟ้า หรือแม้แต่ไฮเปอร์มาร์เก็ต นับว่าช่วยกระจายความเสี่ยงในแง่ของความต้องการได้ เพราะแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะมีความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา

นอกจากนี้ บริษัทฯจะอาศัยฐานลูกค้าเดิม ต่อยอดธุรกิจอื่นเพิ่มเติม โดยอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจพลังงานทดแทน ในรูปแบบSolar Rooftop บนพื้นที่หลังคาของโรงงานธุรกิจ

สำหรับเป้าหมายรายได้รวมของบริษัทฯในปี 2561 ยังคงมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย เติบโตราว 10% จากปีก่อนหน้า ปัจจัยหลักมาจากทยอยการรับรู้มูลค่างานในมือ(Back log) ณ สิ้นงวดไตรมาส 1/61 ที่มีจำนวน 453 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทฯได้เข้าร่วมประมูลงานอย่างต่อเนื่อง

นายองอาจ กล่าวว่า ในส่วนของผลประกอบการงวดไตรมาส 2/61 นั้น มั่นใจว่าดีกว่าไตรมาสก่อนหน้า และใกล้เคียงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯมีความจำเป็นใช้งบด้านการตลาดเพื่อสนับสนุนการขายของธุรกิจAutomate Warehouse ซึ่งจะเริ่มเห็นผลชัดเจนตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป