กิมเอ็งฯชี้หุ้นแบงก์ไปไม่ไกล กำไรอ่อนแรง 3 ปี

HoonSmart.com>>บล.เมย์แบงก์ฯยังไม่น่าสนใจหุ้นแบงก์ ราคาถูก แต่กำไรต่ำยาว 3 ปี เลือก TISCO เด่น  KBANK ให้ถือ ตีมูลค่า 80 บาท ลดเป้า KKP บล.ฟิลลิปยก BBL  บล.โนมูระเผยเฟดต่อเวลาคุมแบงก์จ่ายปันผลยาวถึงสิ้นปี แนะซื้อเก็งกำไรธนาคารเกียรตินาคินภัทร

บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารเท่ากับตลาด เลือกหุ้นบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) เป็นหุ้นเด่น แนวโน้มกำไรดีกว่าแบงก์อื่น และเพิ่มคำแนะนำธนาคารกสิกรไทย (KBANK) จาก “ขาย” เป็น “ถือ” หลังจากที่ราคาหุ้นตกลงไปถึง 22% และปรับตัวน้อยกว่าดัชนีหุ้นถึง 14% นับตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย.คงราคาเป้าหมาย 80 บาท นอกจากนี้ปรับลดประมาณการกำไรของธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ลงอีก 4-6% ปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 45 บาท โดยยังคงคำแนะนำซื้อ

” ธนาคาร 7 แห่งที่ดูแล มีกำไรสุทธิ 2.22 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 3/36 ลดลง 52% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 4% จากไตรมาส 2 คาดตั้งสำรองลดลง 25% เนื่องจากธนาคารกรุงเทพ (BBL), KBANK และธนาคารกรุงไทย (KTB) ตั้งสำรองล่วงหน้าเผื่อไปแล้ว ส่วนสินเชื่อคาดจะทรงตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน  รายได้จะอ่อนแอ โดยเฉพาะรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย จากฐานที่สูงเนื่องจากมีกำไรจากเงินลงทุนสูงในไตรมาส 2 ” บล.เมย์แบงก์ฯระบุ

ส่วนคุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มจะอ่อนแอลง แต่ยอด NPLs อาจจะยังไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะ ธปท. อนุญาตให้สามารถคงสถานะการจัดชั้นหนี้ที่ผ่านการปรับโครงสร้างเอาไว้ได้จนถึงสิ้นปี 2564  แนะนำให้นักลงทุนมองเลยวัฏจักรรอบนี้ไปในการประเมินความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ โดยเชื่อว่าทั้ง NPLs และ credit cost จะยังคงสูงต่อเนื่องไปอีก 3 ปี

สำหรับคำแนะนำการลงทุน แนวโน้มรายได้ที่อ่อนแอ และคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงจะกดดันกำไรกลุ่มธนาคารในอีก 3 ปีข้างหน้า ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะดูไม่แพงในแง่ P/BV แต่เชื่อว่าราคาหุ้นในปัจจุบันเหมาะสมแล้วกับ ROE ของกลุ่มที่คาดว่าจะลดลงเหลือแค่ 6-7% ในปี 2563-2565 จาก 10-13% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมองไม่เห็นปัจจัยกระตุ้นในระยะสั้นถ้าหากภาคท่องเที่ยวยังฟื้นตัวช้า

ด้านบล.ฟิลลิป ยังแนะนำซื้อ BBL คงราคาพื้นฐาน 124 บาท ไตรมาส 3 จะมีกำไรสุทธิ 7,100 ล้านบาท เติบโต 130% จากไตรมาสที่ 2 แต่ลดลง 24.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน คาดสินเชื่อลดลง 1.5% เทียบไตรมาสที่ 2 จากการชำระคืนของลูกหนี้รายใหญ่ แต่ NPLs จะเพิ่มขึ้นต่อ หลังมาตรการช่วยเหลือลูกค้าทยอยหมด คาดว่าการตั้งสำรองที่น้อยลงในครึ่งปีหลัง ทำให้กำไรเพิ่มขึ้น จึงยังคงประมาณการกำไรทั้งปีที่ 2.9 หมื่นล้านบาท และกำไร 9 เดือนนี้คาดไว้ 61% ของประมาณการทั้งปี

บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ รายงานว่า ธปท.อนุญาตให้ธนาคารกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ หากทำ Stress Test ผ่าน หุ้นเด่น คือ KKP และ TISCO คาด KKP มีอัตราผลตอบแทนปันผลสูงเกือบ 9% ต่อปี มูลค่ายุติธรรม 58 บาท

บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขยายเวลาจำกัดธนาคารจ่ายเงินปันผลและซื้อหุ้นคืนจนถึงสิ้นปีนี้ คงคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไรหุ้น KKP ราคาเป้าหมาย 48 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3 ที่ 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาส 2 แต่ลดลง 22% จากช่วงเดียวกันปีก่อน กดดันจากค่าใช้จ่ายสำรอง และขาดทุนรถยึดเพิ่มขึ้น ประกอบกับรายได้ค่าธรรมเนียมอ่อนแอลง ส่วนแนวโน้มกำไรไตรมาสที่ 4 ยังไม่สดใส แนวโน้มขาดทุนรถยึดมากขึ้น ค่าใช้จ่ายสำรองยังคงสูง

นอกจากนี้ยังให้ถือหุ้น KTB มูลค่าเหมาะสม 10.50 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาสที่ 3 ที่ 4,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสที่ 2 ที่ตั้งสำรองก้อนใหญ่ลูกหนี้บริษัทการบินไทย (THAI) แต่ลดลง 35% จากช่วงเดียวกันปีก่อน กดดันจากค่าใช้จ่ายสำรองเพิ่มขึ้น รายได้ดอกเบี้ย และรายได้ค่าธรรมเนียมอ่อนแอลง ด้านแนวโน้มกำไรไตรมาสที่ 4 คาดลดลง