BH ร่วงแรง คาดเจอคู่แข่งใหม่ ต้นทุนแพทย์เพิ่ม

HoonSmart.com>>บล.ดีบีเอสฯคาดกลุ่มการแพทย์ปรับตัวลงจากปัจจัยแต่ละบริษัท  โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีข่าวลบการแย่งตัวบุคคลากรด้านการแพทย์ ทริสคงเครดิตที่ “A+” แนวโน้มกำไรลดลง 1-2 ปี ส่วน BCH สำนักงานประกันสุขภาพ ยกเลิกบัตรทองอีก 108 แห่ง

หุ้นกลุ่มการแพทย์ปรับตัวลงแรง นำโดย บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) รูดลง 4% หรือ -4 บาท ซื้อขายที่ 96 บาท บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) ลดลง 3.42% หรือ-0.50บาท ซื้อขายที่ 14.10 บาท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ลดลง 1.50% ติดลบ 0.30 บาท ซื้อขายที่ 19.70 บาท ณ เวลาประมาณ 11.55 น. ของวันที่ 30 ก.ย.2563

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) คาดว่าการปรับตัวลงแรงของ BH มีข่าวลบเรื่องการแย่งตัวบุคคลากรด้านการแพทย์ โดยเฉพาะแพทย์ จากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ที่ ถ. พระรม 4 คือ Med Park อาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านบุคคลากรเพิ่มสูงขึ้นมาก

ส่วน BCH คาดว่ามีสาเหตุจากข่าวสำนักงานประกันสุขภาพ ยกเลิกบัตรทองอีก 108 แห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2563 ปรากฎว่ามี รามคำแหงอยู่ในรายชื่อด้วย แต่คาดว่าจะโดนปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท ถือว่ากระทบต่อกำไรน้อยมาก แต่เกี่ยวกับเรื่องภาพพจน์ที่เป็นลบมากกว่า

ด้านบริษัททริสเรทติ้งคงอันดับเครดิต บริษัท โรงพยาบาล บำรุงราษฎร์ ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่”  สะท้อนความเป็นผู้นำในการให้บริการด้านสุขภาพภาคเอกชนระดับพรีเมี่ยมในประเทศไทยและชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีทั้งในกลุ่มผู้ป่วยภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง จากการมีภาระหนี้ระดับต่ำมากและสภาพคล่องที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพ ตลอดจนข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีโรงพยาบาลหลักเพียงแห่งเดียว และผลกระทบอันเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ในปี 2562 บริษัทมีรายได้จากการให้บริการด้านสุขภาพ 1.84 หมื่นล้านบาท บริษัทมีผู้ป่วยซึ่งเป็นชาวตะวันออกกลางในสัดส่วนมากที่สุด แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะอ่อนแอลง แต่รายได้จากการรักษาผู้ป่วยชาวตะวันออกกลางยังคงเพิ่มขึ้น 6% จากปี 2561 ในขณะที่รายได้จากผู้ป่วยในภูมิภาคอินโดจีนก็เพิ่มขึ้น 3% ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ทริสคาดว่าการรักษาโรคที่มีความซับซ้อนสูง รวมทั้งการให้บริการด้านสุขภาพขั้นสูง และนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านสุขภาพจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนรายได้ในระยะยาว

ส่วนครึ่งแรกของปี 2563 รายได้รวมของผู้ประกอบการที่ให้บริการด้านสุขภาพที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หดตัวประมาณ 12%  บริษัทที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ป่วยต่างชาติในตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ลดลงถึง 15%-30% สำหรับ BH มีรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติ ประมาณ 65% และจากผู้ป่วยไทย 35% วิกฤตการณ์โรคโควิด 19 ทำให้รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ลดลงไปประมาณ 5% รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติหดตัวลงประมาณ 35% ทั้งนี้ รายได้จากผู้ป่วยโดยรวม อยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท ลดลง 27% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ครึ่งหลังของปี 2563 ภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ลง ทริสเรทติ้งคาดว่ากลุ่มผู้ป่วยต่างชาติในตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์อาจเป็นกลุ่มชาวต่างชาติกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับอนุญาตเมื่อมีการเปิดประเทศเพื่อเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2563 แล้วจะค่อยๆ ฟื้นตัวในปี 2564 แต่ยังต่ำกว่าในปี 2562 และหลังจากนั้นจะกลับไปอยู่ที่ระดับประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาทในปี 2565

ทริสคาดว่ากำไรของบริษัทจะลดลง 1-2 ปี บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายประมาณ 5.9 พันล้านบาทในปี 2562 โดยมีอัตราในระดับสูงมากที่ประมาณ 32% ซึ่งสูงกว่าอัตรากำไรโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับประมาณ 20% ค่อนข้างมากมาจากการมีรายได้ที่สูงจากการรักษาโรคเฉพาะทางและโรคที่มีความซับซ้อนสูง เป็นสำคัญ